นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า ลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPhone 13 ทุกรุ่นล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 และวางจำหน่ายในวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ดูรายละเอียดเกี่ยวกับราคาและการวางจำหน่ายที่ https://www.ais.th/apple/iphone-13-pro/
iPhone 13 ทุกรุ่นพร้อมมอบประสบการณ์ 5G สุดล้ำด้วยการรองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้น จึงสามารถใช้งาน 5G ได้หลายที่มากขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น และมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max โดดเด่นด้วยจอภาพ Super Retina XDR แบบใหม่หมดพร้อม ProMotion ที่มีอัตราการดึงข้อมูลใหม่สูงสุดที่ 120Hz จึงให้ประสบการณ์ในการสัมผัสที่เร็วขึ้นและตอบสนองฉับไวยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งทั้งสองรุ่นมีให้เลือกในสีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลูใหม่ นอกจากนี้ในรุ่น iPhone 13 Pro Max ยังมีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ทำให้สามารถใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro Max ถึง 2.5 ชั่วโมง พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุใหม่สูงถึง 1TB และยังอุ่นใจด้วยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ ส่วนระบบกล้องระดับโปร ซึ่งประกอบด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ ไวด์ และเทเลโฟโต้ ก็ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอที่โดดเด่นสวยงามโดยมีชิป A15 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple เป็นขุมพลัง เทคโนโลยีนี้ยังทำให้เกิดความสามารถในการถ่ายภาพแบบใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น อย่างการถ่ายภาพมาโครด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ใหม่ และประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดีขึ้นสูงสุด 2.2 เท่าบนกล้องไวด์ใหม่ รวมถึงคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์อย่าง “สไตล์ภาพถ่าย” ที่ให้คุณปรับแต่งสไตล์ภาพในแอปกล้องอย่างที่ต้องการ และโหมดกลางคืนที่ใช้งานได้กับกล้องทุกตัว ส่วนวิดีโอก็ล้ำหน้าแบบก้าวกระโดดโดยมี “โหมดภาพยนตร์” ที่เปลี่ยนระยะชัดลึกได้อย่างสวยงาม รวมทั้งการถ่ายวิดีโอแบบมาโครทั้งไทม์แลปส์และสโลว์โมชั่น และประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้น และทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมเวิร์กโฟล์ในแบบ Dolby Visionตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังรองรับ ProRes เป็นครั้งแรก ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น
iPhone 13 และ iPhone 13 mini เจเนอเรชั่นใหม่มาพร้อมดีไซน์อันงดงามพร้อมด้วยขอบแบนที่เรียบหรูดูดีใน 5 สีสันที่โดดเด่นสะดุดตา ได้แก่ สีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED2 โดยที่ทั้งสองรุ่นมาพร้อมนวัตกรรมอันน่าทึ่ง อย่างระบบกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ซึ่งมาพร้อมกล้องไวด์ที่มีพิกเซลขนาดใหญ่ขึ้น และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์เพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยทีดียิ่งขึ้นอีกทั้งยังมี “สไตล์ภาพถ่าย” ซึ่งเป็นวิธีใหม่สำหรับปรับแต่งกล้องให้ถูกใจในแบบที่ต้องการ และ”โหมดภาพยนตร์” ซึ่งจะเปิดมิติใหม่ให้กับการเล่าเรื่อง ยิ่งกว่านั้น iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมาพร้อมชิป A15 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple เพื่อประสิทธิภาพที่แรงสุดขั้วและประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น, จอภาพ Super Retina XDR ที่สว่างยิ่งขึ้นเพื่อคอนเทนต์ที่มีชีวิตชีวา, ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่ทนทานเหลือเชื่อ, พื้่นที่จัดเก็บข้อมูลในรุ่นเริ่มต้นเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 128GB, ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม