มหาอุทกภัยผ่านไป ตะกอนยังอยู่ในทะเลสาบสงขลาอีกโจทย์ที่คนใต้ต้องเร่งฟื้นฟู

0

น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ล่าสุด ไม่ได้สร้างเพียงความเสียหายต่อเมืองและชุมชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อ “หัวใจของระบบนิเวศ” อย่างทะเลสาบสงขลาอย่างคาดไม่ถึง ผลสำรวจภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-2C จากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ระบุชัดเจนว่า หลังน้ำหลากผ่านตัวเมืองหาดใหญ่ มวลตะกอนขนาดใหญ่ได้ไหลบ่าลงสู่ทะเลสาบสงขลาตอนล่างอย่างต่อเนื่อง ปริมาณตะกอนที่สูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาอันสั้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนภัยด้านระบบนิเวศที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนที่สุด

ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม ชี้ให้เห็นชั้นตะกอนขนาดใหญ่ที่แผ่กระจายออกจากพื้นที่รับน้ำหลัก ก่อนมุ่งหน้าลงสู่ตอนล่างของทะเลสาบสงขลาในระดับความเข้มข้นที่เกินกว่าระบบนิเวศจะรับมือได้ทัน การไหลบ่าของตะกอนจำนวนมหาศาลเช่นนี้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศหลายด้าน ได้แก่

  • น้ำขุ่นและลดการส่องผ่านของแสง ทำให้พืชน้ำและสาหร่ายที่มีประโยชน์ ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้เต็มที่
  • ตะกอนทับถมบริเวณพื้นท้องน้ำ ส่งผลเสียต่อหญ้าทะเล แหล่งเพาะพันธุ์ปลา สัตว์น้ำ และจุลินทรีย์ที่เป็นฐานอาหารในห่วงโซ่อาหาร
  • เพิ่มความเสี่ยงภาวะออกซิเจนต่ำ (Hypoxia) จากอินทรียวัตถุจำนวนมากที่ย่อยสลาย
  • กระทบโดยตรงต่อประมงพื้นบ้าน ทั้งจากน้ำขุ่นที่รบกวนการหายใจของสัตว์น้ำ และจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย
  • เสี่ยงต่อการเกิดการเพิ่มจำนวนสาหร่ายผิดธรรมชาติ (Algal Bloom) หากธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสมีปริมาณสูง

ผลกระทบเหล่านี้เป็น “ผลกระทบเร่งด่วนและรุนแรง” ที่เริ่มส่งผลทันทีตั้งแต่วันแรกที่น้ำหลากลงทะเลสาบสงขลา ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงความเสียหายหลังภัยธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมหาอุทกภัยในอนาคต

เมื่อภูมิอากาศมีความแปรปรวนมากขึ้น ฝนตกหนักในระยะเวลาสั้น ๆ (extreme rainfall) จะเกิดบ่อยขึ้น ทำให้ดินถูกกัดเซาะ (erosion) จากภูเขาและพื้นที่ต้นน้ำถูกพัดพาลงสู่ลุ่มน้ำอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณตะกอนที่ไหลลงแม่น้ำและทะเลสาบเพิ่มขึ้นทุกปี จึงไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะหน้า หากไม่มีการฟื้นฟูป่า พื้นที่ชุ่มน้ำ และการบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างจริงจัง วงจรนี้จะยิ่งทวีความรุนแรง จนนำไปสู่การเกิดมหาอุทกภัยถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และกระทบพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน แต่กลับมีการนำประเด็น “ปลาหมอคางดำ” ไปผูกโยงกับผลกระทบของน้ำท่วมครั้งนี้ จนอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน จริงอยู่ที่ปลาชนิดนี้แข่งขันแย่งแหล่งอาหารกับปลาท้องถิ่น, วางไข่จำนวนมากทำให้ประชากรเพิ่มเร็ว และรบกวนปลาพื้นถิ่นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นต้น แต่ก็ไม่ทำให้ทะเลสาบเสียสมดุลทันทีในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ เพราะการขยายประชากรต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำ ประเมินว่าปลาหมอคางดำเป็นปัญหา ระยะกลาง–ยาว ที่เกิดจากการรุกรานเชิงชีวภาพของสัตว์ต่างถิ่น
เรื่องมวลตะกอนขนาดใหญ่กับปลาหมอคางดำไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา สองเรื่องนี้ไม่ควรถูกบิดเบือนให้เชื่อมโยงกันอย่างผิดหลักวิชาการ เพราะจะทำให้ “ประเด็นเร่งด่วนจริง” โดยเฉพาะเรื่องตะกอนขนาดใหญ่ “ถูกกลบ” และสร้างความสับสนกับสังคม

ปลาหมอคางดำแม้เป็นชนิดพันธุ์รุกราน แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ผ่านมาตรการของภาครัฐ เช่น การจำกัดพื้นที่แพร่กระจายอย่างเป็นระบบ, การสนับสนุนการจับและบริหารจัดการประชากร, การฟื้นฟูปลาท้องถิ่นให้มีการแข่งขันทางธรรมชาติ เป็นต้น จึงไม่ควรนำประเด็นนี้มากลบปัญหาหลัก “มวลตะกอนหลังน้ำท่วม” ที่กำลังส่งผลกระทบต่อทะเลสาบอย่างเฉียบพลัน

ทะเลสาบสงขลาได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น ความเค็มที่แปรผัน ความถี่ของพายุที่มากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมการย้ายถิ่นของสัตว์น้ำที่เปลี่ยนแปลง

มหาอุทกภัยครั้งนี้ คือ สัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูทะเลสาบสงขลาอย่างเป็นระบบ ได้แก่

  • เร่งตรวจวัดคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อระบุพื้นที่เสี่ยงและวางแผนฟื้นฟูทันที
  • ฟื้นฟูพื้นที่พืชน้ำและระบบนิเวศก้นทะเลสาบ ที่ถูกตะกอนทำลาย
  • ฟื้นฟูลุ่มน้ำต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ เพื่อลดตะกอนในระยะยาว
  • พัฒนามาตรการควบคุมปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้กระทบสัตว์น้ำท้องถิ่น

“มวลตะกอนขนาดใหญ่” หลังน้ำท่วม ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่า กำลังสร้างวิกฤตร้ายแรงต่อระบบนิเวศทะเลสาบสงขลาทันที น้ำขุ่น ตะกอนทับถม พืชน้ำถูกทำลาย แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำเสียหาย และความเสี่ยงต่อสาหร่ายบูมสูงขึ้น ผลกระทบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กและเกิดขึ้นทันที ต่างจากประเด็นปลาหมอคางดำที่เป็นปัญหาระยะกลาง–ยาวและสามารถควบคุมได้ด้วยการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ

สังคมต้องร่วมมือกันสร้างระบบความร่วมมือระหว่างรัฐ นักวิชาการ และชุมชน ในการจัดการทะเลสาบแบบองค์รวม โดยตระหนักถึงความรุนแรงของตะกอนขนาดใหญ่ สนับสนุนมาตรการฟื้นฟูทะเลสาบอย่างเร่งด่วน และสนับสนุนการบริหารจัดการชนิดพันธุ์รุกรานอย่างมีระบบ เพื่อให้ทะเลสาบสงขลายังคงเป็นแหล่งชีวิต ระบบนิเวศที่สมดุล และชุมชนสามารถอยู่ร่วมสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน.