นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสความนิยมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งรถยนต์อีวี และรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ในประเทศไทยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลประกาศนโยบายส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้บริษัทแม่ คือ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เห็นถึงโอกาสและศักยภาพการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต จึงได้แต่งตั้ง บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท ดิสทริบิวชั่น จำกัด ให้เป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “อีวี เน็ท” (EV net) และบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารแอปพลิเคชัน “BeCharger” ระบบจัดการอัจฉริยะ ที่มีฟังก์ชั่นการค้นหาเครื่องชาร์จ และการชำระเงิน
ก่อนหน้านี้บริษัท ได้นำร่องติดตั้งและให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV net แบบแท่นชาร์จ (Pedestal Type) ในพื้นที่พักอาศัยและคอนโดมิเนียม รวม 20 แห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี และลูกค้ากลุ่มนี้ ยังแสดงความสนใจขยายจุดติดตั้งไปยังโครงการอื่นเพิ่มเติม สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้บริการในกลุ่มผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถยนต์อีวี และรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปีนี้ บริษัทจะเดินหน้าขยายธุรกิจในส่วนของการจัดจำหน่ายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV net ในแบบ AC Normal Charge กระแสไฟสลับ ทั้งแบบ 1 หัวชาร์จ และ 2 หัวชาร์จ และรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งยุโรปและเอเชีย ให้ครอบคลุมทั่วไทยมากยิ่งขึ้น โดยมีแผนเพิ่มจุดติดตั้งและบริการผ่านโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวราบ แนวสูง รวมทั้งขยายจุดติดตั้งและบริการในบ้านพักอาศัยส่วนบุคคล เพื่อขยายฐานการให้บริการกลุ่มผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถยนต์อีวี และรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ให้เพิ่มมากขึ้น
“ลูกค้าหลักของเราคือกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบรถยนต์อีวี และรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ที่ต้องการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ตามมาตรฐานสากล แต่มีราคาที่จับต้องได้ รวมถึงมีบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ซึ่ง EV net ตอบโจทย์ทุกอย่าง เพราะ “FORTH” ได้ออกแบบและพัฒนา EV net ให้ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัย เหมาะกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย โดยผ่านการทดสอบการใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าทั้งค่ายยุโรปและเอเชีย รวมถึงบริษัทยังมีทีมติดตั้ง และทีมบริการหลังการขายที่ให้การดูแลและให้คำปรึกษาการใช้งาน จึงทำให้ลูกค้ามั่นใจถึงคุณภาพและการบริการหลังการขาย แม้ว่าปัจจุบันจะมีสินค้าประเภทเดียวกันจากจีนเข้ามาตีตลาด โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ถูกกว่าเข้ามาแข่งขันก็ตาม” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาแอปพลิเคชัน BeCharger เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาและนำทางไปยังเครื่องชาร์จ การชำระเงินจากบัญชีธนาคารที่ผู้ใช้สามารถผูกบัญชีไว้ก่อนหน้า การชำระดัวยบัตรเดบิต และบัตรเครดิต รวมถึงการชำระค่าบริการด้วย BeWallet ที่เติมเงินผ่านตู้บุญเติม นอกจากนี้ BeCharger ยังมีระบบแจ้งเตือนการชาร์จแบบออนไลน์เมื่อแบตเตอรี่เต็ม หรือหมดเวลาชาร์จ รวมถึงสามารถเรียกดูประวัติการชาร์จย้อนหลังได้อีกด้วย และสำหรับเจ้าของพื้นที่ BeCharger ได้มีระบบรองรับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานเกินกำหนด โดยผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการสามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชัน “BeCharger” ได้ทั้งระบบ Android และ iOS
สำหรับฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีมิเตอร์วัดกำลังไฟในตัว ซึ่งจะรายงานผลออนไลน์กลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อการควบคุมได้แบบ Real time และสามารถแสดงรายงานผ่านเว็บไซต์ที่จะช่วยให้เจ้าของพื้นที่ตรวจสอบการใช้งานและการทำงานของเครื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย พบว่า สถิติยอดจดทะเบียนสะสมรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานแบตเตอรี่ มียอดจดทะเบียน 5,685 คัน ขณะที่รถยนต์ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด มีจำนวน 186,272 คัน ในปี 2563 ที่ผ่านมา และมีคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2564 ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนต่างเร่งพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและขยายตลาดรองรับความต้องการใช้บริการ ทั้งในรูปแบบสาธารณะ และส่วนบุคคลให้ครอบคลุมการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัท ได้เตรียมขยายทีมงานเพิ่มเติม เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจการจัดจำหน่ายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
“การให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV net ในครั้งนี้ นอกจากบริษัท จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐ เพื่อลดปัญหาทางด้านมลพิษทางอากาศและรักษาสิ่งแวดล้อม อีกหนึ่งพันธกิจหลักของบริษัท คือมุ่งเน้นการเพิ่มความสะดวกให้กับทุกชุมชน ตลอดจนสรรหาและพัฒนารูปแบบการบริการให้มีคุณภาพและหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด”