ซีพีเอฟ เปิดตัวรายงานความยั่งยืนประจำปี 2563 ตอกย้ำกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน 3 เสาหลัก อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ สนับสนุนการบริหารจัดการธุรกิจให้ดำเนินไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและต่อเนื่อง เพื่อผลิตอาหารคุณภาพดี ปลอดภัย เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ควบคู่กับการมีส่วนร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ตามวิสัยทัศน์ “ครัวของโลกที่ยั่งยืน”
นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส หน่วยงานความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปี 2563 จากภัยธรรมชาติและโรคระบาดโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชน ซีพีเอฟในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ตระหนักดีถึงภาระกิจสร้างความมั่นคงทางอาหาร และยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย
โดยซีพีเอฟเป็นบริษัทแรกๆที่ส่งความช่วยเหลือสู่สังคม ริเริ่ม“โครงการส่งอาหารจากใจร่วมต้านภัยโควิด-19” ส่งมอบอาหารปลอดภัย เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และครอบครัว เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้กักตัวเอง ผู้มีรายได้น้อย แรงงานข้ามชาติ กลุ่มเปราะบาง ฯลฯ ได้มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ และยืนยันจะส่งความช่วยเหลือเพื่อก้าวพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
และยังเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ประกาศยกระดับความปลอดภัยของพนักงานขึ้นระดับสูงสุด พร้อมทั้งปรับแผนการดำเนินธุรกิจร่วมกับคู่ค้า โดยจัดทำโครงการ Faster payment ลดระยะเครดิตเทอมเหลือ 30 วัน ให้แก่คู่ค้ากว่า 6,000 ราย เพิ่มสภาพคล่องและรักษางานของลูกจ้างในกลุ่มคู่ค้า
ภายใต้การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ซีพีเอฟผนวกเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เข้ากับกลยุทธ์ความยั่งยืน 3 เสาหลัก โดยสนับสนุนเป้าหมาย SDGs ทั้งหมด 13 เป้าหมาย จาก 17 เป้าหมาย และมีการทบทวนกลยุทธ์ความยั่งยืนให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ สนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ปี 2563 ซีพีเอฟได้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน 100% จำนวน 7 เป้าหมาย อาทิ ลดปริมาณการใช้พลังงานต่อหน่วยการผลิต ลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ ลดปริมาณของเสียที่กำจัดโดยการฝังกลบ และเดินหน้าขับเคลื่อนเป้าหมายที่ต้องดำเนินการต่อ คือ ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะซื้อคาร์บอนชดเชยและมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate-friendly products) วางแผนระบบโลจิสติกส์ ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร แก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน(Nature-based Solution) เพื่อมีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาโลกร้อน
นายวุฒิชัย กล่าวว่า ในรายงานความยั่งยืนฉบับนี้ ได้แสดงความสำเร็จของการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของซีพีเอฟในด้านต่างๆ อาทิ การส่งเสริมคุณภาพชีวิต สนับสนุนให้ประชาชนมีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจำนวน 51,234 ราย เด็กและเยาวชน 1.433 ล้านราย เข้าถึงอาหารและการเรียนรู้หรือทักษะเกี่ยวกับอาหาร ขณะที่ 35% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศไทย มุ่งเน้นสุขโภชนาการและสุขภาพ ที่สำคัญผู้นำและพนักงานผ่านการอบรมพัฒนาความรู้และความเข้าใจเพื่อความยั่งยืนแล้ว 100%
นอกจากนี้ จากการที่บริษัทมีการบริหารจัดการทรัพยากรตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน ทำให้ปีที่ผ่านมา มีส่วนร่วมลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตลดลง 36% เทียบกับปีฐาน 2558 นำน้ำกลับใช้ใหม่หรือใช้ซ้ำได้ถึง 42% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้รวม 586,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากกิจกรรมต่างๆ เช่น โครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชายเลน พื้นที่ยุทธศาสตร์ 5 จังหวัดรวม 2,388 ไร่ โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จ.ลพบุรี อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า 5,971 ไร่ พร้อมทั้งเดินหน้าร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าเข้าสู่ระยะที่สอง ตลอดจนการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สามารถใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ หรือเป็นสินค้าใหม่ หรือย่อยสลายได้สูงถึง 99.9% การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตอยู่ที่ 26% ของการใช้พลังงานทั้งหมด เป็นต้น
ภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน 3 เสาหลัก ในด้านอาหารมั่นคง บริษัทมีการดูแลสวัสดิภาพสัตว์สอดคล้องตามหลักอิสระ 5 ประการ ซีพีเอฟเป็นรายแรกของประเทศไทยที่นำอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยติดตามพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของสัตว์แบบ Real-Time เพื่อนำมาใช้ปรับการดูแลจัดการได้อย่างเหมาะสมตลอดเวลา ทำให้ได้รับการจัดอันดับมาตรฐานการจัดการฟาร์มตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ดีขึ้นไปอยู่ใน Tier 3 จาก Tier 4 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการยกระดับการให้ความคุ้มครองสัตว์ตามหลักมนุษยธรรม ด้านสังคมพึ่งตน ร่วมมือกับกรมปศุุสัตว์และสมาคมผู้เลี้ยงสุุกรแห่งชาติให้ความรู้เรื่่องการป้องกันโรค ASF กับเกษตรกร รวมไปถึงการส่งเสริมการการสร้างกิจกรรมร่วมกับชุมชนในการผลิตอาหารปลอดภัย ด้านดินน้ำป่าคงอยู่ บริษัทเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิต เช่น ในฟาร์มสุกร 94 แห่งทั่วประเทศ มีการผลิตไบโอแก๊ส และติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม 16 แห่ง ใ นส่วนโรงงานแปรรูปอาหารและอาคารสำนักงานมีการติดตั้งโซลาร์รูฟ 22 แห่ง ขณะที่ธุรกิจสัตว์น้ำได้พัฒนาระบบฟาร์มเลี้ยงกุ้งต้นแบบที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาด เพิ่่มผลผลิต และลดการใช้น้ำ
นายวุฒิชัย กล่าวด้วยว่า กลยุทธ์สู่เป้าหมายความยั่งยืน ปี 2573 (ปี 2030) จะเน้นสร้างนวัตกรรมอาหาร การพัฒนาบุคลากรให้สามารถพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต การผลิตที่มุ่งสู่เป้าหมาย Net-zero ลดก๊าซเรือนกระจกและขยะอาหารโดยใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับกลุ่มอุตสาหกรรม ประเทศและโลก พร้อมทั้งแบ่งปันคุณค่าร่วมให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่สร้างความมั่นคงทางอาหารของโลกอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ CPF จัดทำรายงานความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 เพื่อสื่อสารผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของซีพีเอฟ และรายงานฉบับนี้เป็นการพิมพ์ด้วยหมึกและกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถติดตามรายละเอียดของรายงานความยั่งยืน https://www.cpfworldwide.com/en/sustainability/report