ตลอดช่วงปี 2568 นักลงทุนอาจรู้สึกว่าพอร์ตลงทุนของตัวเองก็สร้างผลตอบแทนได้ดี ทำไมต้องปรับเปลี่ยนให้วุ่นวาย แต่ในโลกของการลงทุน ความสำเร็จที่โดดเด่นมักแฝงไปด้วยความเสี่ยงที่มองไม่เห็น เพราะหลังจากที่หุ้นเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างผลตอบแทนให้ได้อย่างโดดเด่นตลอดในปีนี้ พอร์ตลงทุนที่ดูดีในวันนี้ อาจกลายเป็นพอร์ตลงทุน
ที่เสี่ยงกระจุกตัวเกินไปได้เหมือนกัน หากไม่ได้ทบทวนสัดส่วนสินทรัพย์ลงทุนในพอ์ตลงทุน
คำว่ากระจายการลงทุน (Diversification) หมายถึง การกระจายเงินไปในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น พันธบัตร และสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์ลงทุนแค่ไม่กี่ตัว และเพิ่มโอกาสรับโอกาสการเติบโตจากหลายทิศทาง ซึ่งในทางปฏิบัติ สำหรับนักลงทุนที่ยังอยู่ในช่วงสะสมเงินระยะยาว การมีทั้งหุ้นและตราสารหนี้ผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม ก็มักจะเพียงพอเป็นฐานของการกระจายความเสี่ยงแล้ว
ดังนั้น เพื่อให้พอร์ตลงทุนมีความสมดุลและทนทานต่อความผันผวน Morningstar ได้เสนอวิธีง่าย ๆ ในการกระจายพอร์ตลงทุนสำหรับปี 2569 ที่ไม่ซับซ้อน แต่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้พอร์ตลงทุน โดยได้เน้นคอนเซปต์ว่าทำง่าย ใช้ได้จริง มากกว่าการไปใช้เครื่องมือที่อาจซับซ้อนเกินความจำเป็นสำหรับนักลงทุนทั่วไปดังนี้
วิธีแรก Rebalance ปรับสมดุลพอร์ต รีเซ็ตสัดส่วนหุ้นไม่ให้เสี่ยงเกินพิกัด
การปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุนให้กลับมาใกล้เคียงเป้าหมายเดิม โดยหลังจากตลาดผันผวนมาระยะหนึ่ง ถ้าเราเริ่มต้นลงทุนโดยมีเป้าหมายให้หน้าตาพอร์ตลงทุนเป็น 60/40 (คือ ลงทุนหุ้น 60% ลงทุนตราสารหนี้ 40%) แต่ปีนี้หลังจากหุ้นทำผลงานได้ดี เพราะได้ลงทุนหุ้น AI หรือหุ้นเติบโตของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ จะทำสัดส่วนหุ้นในพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น เพิ่มเป็น 80% ของพอร์ตลงทุน (จาก 60%)
หากไม่มีการปรับพอร์ตใด ๆ และเกิดโชคดีที่หุ้นยังขึ้นต่อ สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตก็จะยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็น 90% ของพอร์ตก็ได้ แต่หากโชคร้าย สถานการณ์พลิกเป็นหุ้นปรับลดลงแรง พอร์ตลงทุนที่มีหุ้นในสัดส่วนสูง ๆ จะเสียหายหนัก
ดังนั้น ควร Rebalance คือ การปรับสมดุลของพอร์ตลงทุนให้สัดส่วนของสินทรัพย์ต่าง ๆ กลับมาอยู่ในนโยบายการลงทุนส่วนตัวหรือพอร์ตตั้งต้นที่วางไว้ วิธีการทำได้ 2 ทาง ดังนี้
1. ขายสินทรัพย์ประเภทที่เกินสัดส่วนเดิม (Overweight) ออกไป
เช่น ขายหุ้นออกไปให้เหลือสัดส่วนเพียง 60% ของมูลค่าพอร์ต แล้วนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เพื่อให้กลับมามีสัดส่วนเท่าเดิมในพอร์ตลงทุนตั้งต้น
2. นำเงินมาเติมในพอร์ตลงทุน
โดยซื้อสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนลดลงให้กลับมาเท่าเดิม (Underweight) เช่น ซื้อตราสารหนี้เพิ่ม เพื่อให้กลับมามีสัดส่วน 40% เหมือนเดิม
วิธีที่สอง เพิ่มน้ำหนักพันธบัตร สร้าง “แนวกันชน” คุ้มครองพอร์ตรับวัยเกษียณ
การเพิ่มน้ำหนักในพันธบัตร โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่อายุเริ่มเข้าใกล้หรือเกิน 50 ปี โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่า ช่วงวัยนี้ควรเริ่มลดความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนลงบางส่วน และสร้างแนวกันชนด้วยสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตรคุณภาพดี อายุสั้นถึงปานกลาง และเงินสดบางส่วน
แนวคิดคือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้เงินมากขึ้น ความผันผวนขาลงของตลาดหุ้นจะเริ่มกระทบเป้าหมายเกษียณมากขึ้น ดังนั้น การมีตราสารหนี้ไว้ในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงช่วยให้พอร์ตปลอดภัยมากขึ้น ขณะที่ยังมีโอกาสเติบโตระยะยาว
วิธีที่สาม เพิ่มหุ้นต่างประเทศ (Non-US) ดักโอกาสทำกำไรจากตลาดที่ราคาไม่ตึงตัว
การเพิ่มสัดส่วนหุ้นต่างประเทศ โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่าในปี 2568 หุ้นต่างประเทศ (หุ้นนอกสหรัฐอเมริกา) เริ่มฟื้นตัว ทำผลตอบแทนได้ดี หลังจากที่แพ้หุ้นสหรัฐอเมริกามาหลายปี แต่ถ้ามองย้อนหลังเป็นสิบปี หุ้นนอกสหรัฐอเมริกา ยังให้ผลตอบแทนตามหลังตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่พอสมควร ทำให้ Valuation โดยรวมยังดูไม่ตึงตัวเท่าตลาดสหรัฐอเมริกา หมายความว่าการมีหุ้นต่างประเทศในพอร์ตลงทุน จึงช่วยทั้งด้านการกระจายความเสี่ยงประเทศหรือสกุลเงิน และเปิดโอกาสรับ Upside จากตลาดที่ยัง Outperform หรือหุ้นมีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดสหรัฐอเมริกา รวมถึงโครงสร้างภาคธุรกิจที่ต่างกัน ซึ่งบางช่วงอาจทำผลงานได้ดีกว่าเมื่อธีมเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาแผ่วลง

วิธีที่สี่ เพิ่มหุ้นคุณค่าและหุ้นขนาดเล็ก ลดความเสี่ยงพอร์ตกระจุกตัวในหุ้นยักษ์ใหญ่
การเพิ่มน้ำหนักหุ้นคุณค่าและหุ้นขนาดเล็ก โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่าปัจจุบันนักลงทุนจำนวนมากถือกองทุนดัชนีสหรัฐอเมริกา เช่น S&P 500 หรือกองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีนโยบายลงทุนทั้งตลาด แต่ก็มีน้ำหนักไปทางหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างมาก เช่น กองทุนอ้างอิง S&P 500 อย่าง SPY มีน้ำหนักในหุ้น Nvidia เพียงตัวเดียวเกือบ 8% และเมื่อรวมกลุ่มเทคโนโลยีแล้วกินสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของพอร์ต
ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้พอร์ตลงทุนมีสัดส่วนในหุ้น AI และหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ (Mega cap) ไม่กี่ตัวมากเกินไป การเสริมด้วยกองทุนหุ้นขนาดเล็ก (Small cap) หุ้นคุณค่า (Value) หรือกองทุนที่เน้นหุ้นหุ้นคุณค่าขนาดเล็ก (Small cap Value) จึงเป็นอีกทางหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวและเพิ่มโอกาสจากกลุ่มที่ยังไม่ได้วิ่งแรงในรอบที่ 2568
วิธีที่ห้า เพิ่มหุ้นปันผล สร้างกระแสเงินสดและเสริมเสถียรภาพให้พอร์ตลงทุน
การเพิ่มหุ้นปันผล สำหรับหุ้นจ่ายปันผลมักกระจุกตัวอยู่ในภาคเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม เช่น สาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคบริโภค สุขภาพ อุตสาหกรรม และการเงิน ซึ่งมักเคลื่อนไหวต่างจังหวะกับหุ้นเทคโนโลยี โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่าการเพิ่มน้ำหนักหุ้นปันผลในพอร์ตลงทุนจึงช่วยให้ยังอยู่ในตลาดหุ้น แต่ไม่ต้องพึ่งพาแค่ธีม AI หรือหุ้นเทคเท่านั้น ขณะเดียวกัน รายได้จากเงินปันผลก็ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นผันผวน
สรุป
ปี 2569 อาจไม่ใช่ปีที่ต้องการเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน แต่เป็นปีที่ต้องการการกลับมาสู่พื้นฐานที่ และสำรวจพอร์ตลงทุนตัวเองว่ามีสินทรัพย์ในสัดส่วนที่สมดุลมากน้อยแค่ไหน และหากพอร์ตลงทุนเริ่มกระจุกตัว การปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุนด้วยการเพิ่มน้ำหนักตราสารหนี้ หุ้นต่างประเทศ หุ้นคุณค่า หุ้นขนาดเล็ก และหุ้นปันผล จะสามารถเปิดโอกาสให้พอร์ตลงทุนเติบโตได้ดีในระยะยาวอย่างมั่นคงมากขึ้น




