ใช้ภาพเท็จ – ข้อมูลเท็จใส่ความผู้อื่น ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้เสมอ

0

บทความโดย พิทักษ์พล ช่อผกาพงษ์

ในยุคที่ข่าวสารแพร่กระจายเร็วกว่าความคิด หลายครั้งเพียงไม่กี่ประโยคในโซเชียลมีเดียก็สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนไปอย่างสิ้นเชิง เรามักคุ้นเคยกับคำว่า “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” และใช้มันเป็นเกราะป้องกันเวลาจะโพสต์หรือแชร์อะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่หลายคนลืมคือเสรีภาพนั้นไม่ได้ไร้ขอบเขต หากคำพูดหรือข้อความทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง กฎหมายอาญาก็พร้อมจะทำหน้าที่เข้ามาปกป้อง

กฎหมายหมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 เขียนไว้ชัดว่า หากใครใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามในลักษณะที่ทำให้เขาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้กระทำอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นี่ไม่ใช่ถ้อยคำลอยๆ ที่อยู่บนกระดาษ แต่เป็นกฎหมายที่ถูกนำมาใช้จริงในหลายกรณีที่เราเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์และหน้าจอข่าวอยู่บ่อยครั้ง

หรือหากมีการ live สด หรือนำไปพูดในเวทีสาธารณะที่มีบุคคลที่สามจำนวนมากเป็นผู้ฟังความเท็จนั้น และเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ก่อให้เกิดการดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง คดีจะขยับความรุนแรงขึ้นไปเป็น “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา” ซึ่งมีโทษทั้งจำทั้งปรับที่หนักขึ้น

ลองนึกถึงคดีดาราที่ถูกพาดพิงว่าเอี่ยวกับยาเสพติด แม้เจ้าหน้าที่จะยืนยันในภายหลังว่าไม่จริง แต่ภาพลักษณ์ที่เสียไปนั้นยากจะกู้คืน หรือกรณีนักธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในโครงการใหญ่ เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นเพียงข่าวลือ คนที่โพสต์ก็ต้องเผชิญการฟ้องร้องและชดใช้ค่าเสียหายจำนวนมหาศาล เรื่องเหล่านี้สะท้อนว่า การพิมพ์คอมเมนต์หนึ่งบรรทัดอาจกลายเป็นต้นทุนที่ต้องจ่ายไปทั้งชีวิต

หลายคนยังเชื่อว่าการโพสต์บนโซเชียลก็แค่เรื่องเล่นๆ คำพูดบนโลกออนไลน์ไม่ต่างจากการพูดในที่สาธารณะ เมื่อข้อความหลุดไปถึง “บุคคลที่สาม” มันก็เข้าหลักหมิ่นประมาททันที ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือหวังจะเตือนสังคม หากข้อมูลไม่จริงหรือบิดเบือน ก็เป็นความผิดทั้งนั้น สิ่งที่น่ากลัวคือผลลัพธ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในศาล แต่ความเสียหายต่อชื่อเสียงและศักดิ์ศรีมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากจะประเมิน

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าเรามีสิทธิพูดหรือไม่ แต่คือเราจะใช้อิสระนั้นอย่างไร กฎหมายหมิ่นประมาทไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปิดปากคน หากแต่เพื่อเตือนเราว่า เสรีภาพต้องเดินคู่กับความรับผิดชอบ ก่อนจะกดโพสต์อะไร ลองถามตัวเองว่า ข้อมูลนี้มีหลักฐานหรือไม่ สิ่งที่เขียนเป็นเพียงความเห็นหรือเรากำลังอ้างเป็นข้อเท็จจริง และถ้อยคำที่ใช้แรงเกินไปหรือเปล่า คำถามง่ายๆ เหล่านี้อาจช่วยให้เราไม่ต้องเจอกับหมายเรียกศาลในอนาคต

ท้ายที่สุด กฎหมายหมิ่นประมาทคือเครื่องมือคุ้มครองเกียรติและชื่อเสียงของทุกคนในสังคม และยังเป็นกำแพงที่กั้นไม่ให้การใส่ร้ายแพร่กระจายอย่างไร้ขอบเขต การสร้างภาพเท็จหรือเผยแพร่ข้อมูลเท็จอาจทำให้ใครบางคนต้องเสียอนาคต แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็ทำให้ผู้กระทำเองต้องจ่ายราคา ทั้งค่าเสียหาย ความน่าเชื่อถือ และอาจถึงขั้นสูญเสียอิสรภาพ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราทุกคนควรหยุดคิดสักครู่ก่อนจะปล่อยคำพูดหรือข้อความใดๆ ออกไป อย่าให้ปลายนิ้วบนคีย์บอร์ดเป็นตัวการทำลายทั้งชีวิตคนอื่น และย้อนกลับมาทำลายตัวเราเอง