การท่องเที่ยวนั่งเรือล่องคลอง ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน และแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ริมคลองนั้น ถือเป็นกิจกรรมที่สนุก และใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเที่ยวแบบวันเดย์ทริป เพราะเป็นการเดินทางที่ไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก ระหว่างนั่งโดยสารบนเรือ ก็สามารถนั่งทอดสายตา ชมดูสิ่งต่างๆ ตลอดทางที่เรือแล่นผ่าน นอกจากนี้ ในบางเส้นทางสัญจรโบราณ อย่างเช่น คลองบางกอกใหญ่ หรือ คลองบางหลวง เราจะมีโอกาสได้ชมบ้านเก่าที่เป็นของบรรดาเจ้าขุนมูลนายสม้ยก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ และสถานที่สำคัญอย่างวัดวาอารามที่พบเห็นอยู่มากมาตลอดเส้นทางคลอง
“เกรียนพาเที่ยว” มีโอกาสได้ท่องเที่ยวชมคลองอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ได้มาสัมผัสกับความเสน่ห์ของคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งแตกต่างกับทริปก่อนหน้านี้ที่เราไปชมสวนมะพร้าวในคลองบางประทุนอย่างชัดเจน เห็นได้จากจำนวนของเรือที่สัญจรไปมาบนคลองบางกอกใหญ่นี้ ดูคึกคัก และหนาแน่นกว่าทริปก่อนอย่างมาก เพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะวิวไฮไลท์ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ คือพระพุทธธรรมกายเทพมงคล องค์พระขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านเด่นชัดของคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้ ยิ่งเวลาใกล้ช่วงสายของวัน เราก็ยิ่งเห็นเรือนักท่องเที่ยวลำยาวหลายต่อหลายลำแล่นสวนตลอดทาง พร้อมกับเสียงม้คคุเทศก์บนเรือส่งเสียงภาษาจีนบรรยายให้นักท่องเที่ยวดังให้ได้ยินแบบไม่ขาดสายเลยทีเดียว
สำหรับทริปล่องคลองบางกอกใหญ่ครั้งนี้ เราเดินทางไปกับคุณอาณัติ นักเล่าเรื่องท้องถิ่น ซึ่งจัดทริปเที่ยวคลองเส้นทางต่างๆ อยู่ โดยมีจุดนัดพบที่ท่าเรือวัดใหม่ยายนุ้ย ส่วนเรือที่ใช้เดินทางครั้งนี้ เป็นเรือแท็กซี่พลังงานไฟฟ้า ขนาด 10 ที่นั่ง บนหลังคาเรือติดตั้งแผงโซลาเซล ทำให้การเดินเรือครั้งนี้ ดำเนินไปอย่างสบายๆ เพราะเรือไฟฟ้าเดินเครื่องเงียบมาก ไม่ส่งเสียงดังรบกวน และไม่สร้างมลพิษให้กับคลองอีกด้วย
จุดหมายแรก หลังจากแล่นเรือไปตามคลองด่าน เราจอดเรือเทียบที่ท่าวัดอินทารามวรวิหาร เพื่อแวะทานอาหารเช้า โดยคุณอาณัติพาเราไปที่ร้านสุริยากาแฟ ร้านกาแฟเก่าแก่คู่ตลาดพลูอายุกว่า 100 ปี ปัจจุบัน รุ่นลูกรุ่นหลานก็กระจายกันเปิดเป็นสาขาต่างๆ แต่ร้านแรกดั้งเดิมจะตั้งอยู่ในตลาดวัดกลาง (วัดจันทาราม) สำหรับแอดมิน มีโอกาสมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านดั้งเดิมนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่จะสะดวกแวะซื้อที่ร้านตรงใต้สะพานตลาดพลู เมนูเครื่่องดื่มที่อยากแนะนำ คือ ชาซีลอน จะเป็นชาดำเย็น หรือ ชานม ขอบอกว่า หอมอร่อยชื่นใจดีนัก น่าเสียดายที่วันที่เราไป เมนูปาท่องโก๋ ซาลาเปาทอด หมดเสียก่อน เลยไม่ได้สั่งมาทานคู่กัน
หลังจากเติมพลังจนอิ่มท้อง เราเดินย้อนกลับมาที่วัดอินทารามวรวิหาร เข้าชมความงามของพระอุโบสถ และไหว้สักการะพระพุทธชินวร พระประธาน และที่สำคัญ ยังได้มีโอกาสชมพระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง อยู่ในวิหารด้านหน้าพระอุโบสถ พระพุทธรูปปางนี้ถือเป็นปางที่หาชมได้ยาก และพบได้ในวัดเพียงไม่กี่แห่ง ลักษณะเป็นการจำลองภาพหีบพระศพ และมีพระบาทของพระพุทธเจ้ายื่นออกมาจากหีบ มีพระภิกษุ 3 รูป พนมมือไหว้พระบาทที่ยื่นออกมา นอกจากนี้ ผนังด้านข้างยังมีภาพวาดจิตรกรรมเป็นรูปพระสงฆ์กำลังยิ้มหัวเราะโดยคุณอาณัฐเล่าให้ฟังว่า เป็นภาพวาดรูปพระสุภัททะ พระชราที่บวชตอนแก่ โดยตามพระสูตรกล่าวว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสุภัททะกลับบอกแก่หมู่ภิกษุว่า “หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะนั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้องเกรงบัญชาใคร” อันเป็นสาเหตุให้ต่อมามีการสังคายนาพระธรรมขึ้นในภายหลัง
จากนั้น เราขึ้นเรือเพื่อล่องออกสู่คลองบางกอกใหญ่จนเกือบถึงประตูน้ำบริเวณวัดกัลยาณมิตร แวะจอดเทียบท่าเพื่อขึ้นไปไหว้สักการะหลวงพ่อโตซำปอกง และ พระปางป่าเลไลย์ ในพระอุโบสถ รวมทั้งชมความงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ทั้งในวิหาร และอุโบสถ ซึ่งพบว่า มีภาพวาดหลายจุดที่ชำรุดเสียหาย มีสภาพหลุดร่อนจากความชื่้น ก็คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลรักษาต่อไป สำหรับจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถแห่งนี้ จะเป็นการวาดเล่าเหตุการณ์สำคัญในอดีต เช่น ภาพวาดคดีการลักเด็กที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัย ร.3
จากที่วัดกัลย์ฯ เราสามารถเดินเท้าไปยังทางเดินเท้าเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อไปยังศาลเจ้าเกียงอันเกง ขอพรต่อองค์เจ้าแม่กวนอิม ที่แกะสลักจากไม้จันทร์หอมอายุกว่า 200 ปี ซึ่งวันที่เราไป มีนักท่องเที่ยว ผู้คนที่ศรัทธา และสายมู จำนวนมาก มาแน่นขนัดทั้งที่หลวงพ่อโต วัดกัลย์ และศาลเจ้าแห่งนี้
จากนั้น เราเดินย้อนกลับมาที่วัด เพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คือ มัสยิดบางหลวง หรือ สุเหร่ากุฎีขาว ศาสนสถานของชาวมุสลิม หนึ่งเดียวที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบวัดไทย คือ หากเดินผ่าน แล้วไม่สังเกตเห็นป้ายที่บอกว่าเป็นมัสยิดแล้ว เชื่อว่าทุกคนต้องเห็นเป็นวัดไทยแห่งหนึ่งอย่างแน่นอน
และเราก็เดินเท้ากลับมาลงเรือ เพื่อล่องกลับคลองบางกอกใหญ่ และแวะสถานที่ต่อไป นั่นคือ วัดหงส์รัตนาราม อุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ “หลวงพ่อแสน” นอกจากนี้ยังมีตำนานว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มักจะเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานภายในพระอุโบสถนี้ด้วย ภายในวัดหงส์ยังมีสถานที่สำคัญ คือ วิหารพระทองคำสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตร จากน้้นพวกเราก็เดินทางต่อไปแวะคลายร้อนกันที่ร้านคาเฟ่อู่เรือ ไฮไลท์คือ จุดชมองค์พระใหญ่ วัดปากน้ำ เก็บภาพเป็นที่ระลึกได้แบบสวยงามสุดๆ เลยทีเดียว
เมื่อพักจนหายเหนื่อย และได้ถ่ายรูปองค์พระใหญ่จนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาตอ้งเดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ นั่นคือ วัดนางชี เพื่อชมงานประดับมุกบานหน้าต่างและประตูอุโบสถ ศิลปะชั้นยอดของเมืองนากาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพบได้ที่วัดนางชี และวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยสภาพส่วนใหญ่ชำรุดจากการถุกปลวกกิน รอการบูรณะซ่อมแซมจากทางญี่ปุ่นต่อไป
ก่อนจะปิดท้ายทริปนี้ ด้วยการกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งที่วัดนางชีนี้จะการจัดงานบุญประจำปีที่ปฏิบัติกันมาช้านาน คือ “งานชักพระวัดนางชี” หรือ “งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ” โดยจัดในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี
จบทริปนี้ไปด้วยประทับใจท่ามกลางอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวในเดือนมีนาคม แต่ต้องขอบอกว่า แม้แอดมินจะเกิดและใช้ชีวิตที่ฝั่งธนฯ มาครึ่งชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสความ “อันซีน” ที่พบเห็นได้แบบไม่จำกัด ตลอดแนวคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้