หลายคนน่าจะเคยตั้งคำถามกับตัวเองและเพื่อน ๆ กันมาบ้างว่า เวลาจะเติมน้ำมันให้คุ้มค่าต่อรถยนต์ เราควรเลือกเติมแบบไหนดี ระหว่างเต็มถังไปเลย หรือเติมครึ่งถังก็พอ มาดูกันครับว่า การเติมทั้ง 2 แบบ จะส่งผลอะไรต่อเครื่องยนต์ได้บ้าง
แบบที่ 1 เติมเต็มถัง การเติมเต็มถังมาก ๆ จนล้น อาจมีผลกระทบต่อระบบเครื่องยนต์ได้จากไอระเหยของน้ำมัน รวมถึงเวลาที่ขับรถน้ำมันอาจจะไหลซึมและกระฉอกออกมาจากฝาถัง ทำให้คราบน้ำมันเปื้อนรถและสีของรถอาจเสียหายจากการถูกคราบน้ำมันทำลายด้วย
แบบที่ 2 เติมครึ่งถัง การเติมครึ่งถังนั้นไม่ได้ช่วยให้ประหยัดไปได้มากสักเท่าไหร่ เนื่องจากปกติน้ำมันจะไหลผ่านปั๊มติ๊ก เพื่อช่วยให้ตัวปั๊มติ๊กไม่ร้อนและมีการหล่อลื่นอยู่เสมอ (ปั๊มติ๊กในที่นี้ คืออุปกรณ์ในถังน้ำมันที่คอยดูดน้ำมันเชื้อเพลิงจากถังน้ำมันเพื่อส่งไปยังเครื่องยนต์ และการทำงานของปั๊มติ๊กจะมีเสียงดังติ๊ก ๆ ร่วมด้วย) แต่เมื่อน้ำมันในถังเหลือน้อย จะส่งผลให้ปั๊มติ๊กทำงานหนักมากขึ้น เพราะไม่มีน้ำมันมาห่อหุ้มเพื่อระบายความร้อนและช่วยหล่อลื่นเช่นเคย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว หรือหากยิ่งปล่อยให้น้ำมันเหลือน้อยจนใกล้หมดถังบ่อย ๆ ก็จะส่งผลให้ลูกลอยที่วัดระดับน้ำมันเกิดความเสียหายได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีการขับขี่เร็ว ๆ บนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อหนัก ๆ ไปจนถึงถนนขรุขระ ก็ทำให้ลูกลอยสั่นสะเทือนได้ง่าย จนทำให้เกจ์วัดระดับน้ำมันมีความหน่วงไปมาไม่ตรงกับค่าวัดระดับน้ำมันตามจริงที่มีอยู่ในถัง
แล้วการเติมน้ำมันแบบไหนล่ะ ถึงดีต่อรถยนต์ที่สุด
โดยปริมาณที่เหมาะสมควรเติมให้อยู่ประมาณ 3 ส่วน 4 ของถังน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ถึงกับเต็มถังเป๊ะ เป็นปริมาณที่ไม่มากไปและน้อยเกินไป ยกตัวอย่างคร่าว ๆ เช่น ปกติเติมน้ำมันเต็มถังอยู่ที่ราคา 800 บาท รอบต่อไปอาจจะปรับลงมาที่ 600 บาท เพื่อให้ได้ปริมาณ 3 ส่วน 4 ของถัง น้ำมันจะได้ไม่เต็มถังจนเกินไป หากรถของคุณมีน้ำมันเกินกว่าครึ่งถังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ครั้งต่อไปที่ควรจะเติมน้ำมันได้ต้องเหลือประมาณ ¼ ของถัง เพื่อให้เติมน้ำมันได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นการช่วยรักษาสภาพเครื่องยนต์ให้ใช้งานได้นานมากขึ้น
เมื่อรู้อย่างนี้ จะได้ไม่ต้องคิดมากว่าจะเต็มถังหรือครึ่งถังดี แค่เติมให้พอดีก็ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์และรถยนต์ให้อยู่กับเราไปนาน ๆ แล้วครับ
ที่มา FACEBOOK OR OFFICIAL