“บิ๊กเกรียน” มีโอกาสติดสอยห้อยตามคณะผู้จัดทำเพจ รัตนโกสิเนหา ซึ่งขยันคลอดทริปท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ออกมาเป็นระยะๆ และแต่ละทริปที่จัดนั้น จะร้อยเรียงสถานที่ที่มีความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกันในแง่มุมประวัติศาสาตร์ไว้อย่างน่าสนใจ เช่นเดียวกับทริปล่าสุดที่ตั้งชื่อชวนให้ต้องติดตามมาร่วมทริปว่า “สีมากรุงเกษม”
ทริปที่พาเราชมความงดงามของวัดอารามหลวงเก่าแก่ 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่แนวคลองผดุงกรุงเกษม โดยแต่ละวัด สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบไปด้วย วัดเทพศิรินทราวาส, วัดโสมนัสราชวรวิหาร และ วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งล้วนเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5
เราเริ่มต้นทริปท่องเวลาหาวัดงามครั้งนี้กันที่ วัดเทพศิรินทราวาส ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ซึ่งสำหรับตัวแอดมินแล้ว มีโอกาสมาที่วัดนี้บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการมาเพื่อร่วมงานขาวดำเสียมากกว่า ไม่เคยมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมความงามอย่างจริงจัง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวชมวัดเทพศิรินทราวาสแห่งนี้ จากข้อมูลประกอบกับการบรรยายที่ได้อรรถรสยิ่งของ อาจารย์ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ วิทยากรรับเชิญ ทำให้ทราบว่า วัดเทพศิรินทร์ฯ เป็นวัดที่ร.5 ทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระราชมารดา สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ โดยออกแบบสร้างให้พื้นที่ตรงส่วนกลางเป็นส่วนของพุทธาวาสมีเพียงพระอุโบสถ ไม่มีการสร้างวิหาร และเจดีย์ ภายในวัด ขนาบข้างด้วยส่วนที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ หรือ สังฆาวาส นอกจากนี้ พื้นที่ด้านหลัง ยังโปรดให้สร้างสุสานหลวงไว้ภายในวัด เพื่อใช้เป็นฌาปนสถานสำหรับพระราชวงศ์ซึ่งไม่ได้สร้างพระเมรุฯ ที่ท้องสนามหลวงและสำหรับชนทุกชั้นด้วย
พระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ฯ มีความงดงามทางสถาปัตยกรรม และมีขนาดที่ใหญ่มาก ภายในอุโบสถ เราจะถูกสะกดสายตาด้วยฉากความงามตรงหน้าของพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในพลับพลา บนฐานชุกชีสูงครึ่งหนึ่งของพระอุโบสถ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศ จึงทำให้ชุดเครื่องตั้งพระประธานทั้งหมดสูงเทียมเพดาน อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่พบในที่อื่นใด และไม่อาจละสายตาเมื่อแหงนหน้าขึ้นไปพบกับความวิจิตรตระการตาของเพดานที่ประดับลายสลักเป็นรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์แบบเต็มเพดาน ขณะที่ผนังก็ประดับเป็นลวดลายดอกรำเพยไว้อย่งางงดงามตา ซึ่งคล้องกับชื่อที่ร.4 โปรดใช้เรียกสมเด็จพระเทพศิรินทราฯ ว่า “แม่รำเพย” นั่นเอง
จากนั้น เราเดินทางต่อไปยังวัดโสมนัสราชวรวิหาร และวัดมกุฏกษัตริยาราม วัดเก่าแก่ทั้งสองแห่งนี้ถูกสร้างเคียงคู่กันในสมัยรัชกาลที่ 4 เดิมมีพื้นที่ติดกัน แต่ในภายหลังมีการตัดถนนราชดำเนินกลาง คั่นแยกพื้นที่ของวัดทั้งสองแห่งออกจากกัน สำหรับการออกแบบก่อสร้างวัดทั้งสองนี้ก็เป็นไปตามรูปแบบนิยมกัน คือ มีการสร้างครบทั้งพระวิหาร เจดีย์ และอุโบสถ โดยพื้นที่ส่วนของพระอุโบสถ พระวิหาร และ พระเจดีย์ และระเบียงคดของทั้งสองวัด ปกติจะไม่เปิดโดยทั่วไป นอกจากเวลาทำวัตร หรือ มีกิจกรรมวันพระ หรือ พิธีสำคัญเท่านั้น ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เดินชมความงามของวัดทั้งสองนี้กันอย่างเต็มที่
วัดโสมฯ ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม แขวงโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เป็นวัดที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างเพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแก่ สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสีพระองค์แรกที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ต้นรัชกาล ภายในพระอุโบสถ ตกแต่งฝาผนังเป็นลวดลายภาพจากเรื่องอิเหนา และเป็นที่ประดิษฐานของ พระสัมพุทธโสมนัสวัฒนาวดีนาถบพิตร พระประธานที่มีความงดวามยิ่ง นอกจากนี้ยังมี พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องประดิษฐานคู่กัน 2 องค์ คือ พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และ พระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ตั้งอยู่บริเวณผนังด้านหลังพระวิหารอีกด้วย และอีกความโดดเด่น่ของวัดนี้ คือ เจดีย์ทองขนาดใหญ่สูง 55 เมตร ปิดกระเบื้องโมเสคสีทองทั้งองค์ รูปทรงแบบลังกา ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย
อีกจุดเด่นของวัดโสมฯ คือ ส่วนของระเบียงคด ที่สร้างทอดยาวล้อมรอบเจดีย์ทอง ซึ่งมีความเป็นระเบียบ สบายตายิ่ง โดยจะมีพระพุทธรูปปางสมาธิตั้งคั่นระหว่างพระพุทธรูปปางอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ตลอดทาง ใช้เป็นสถานที่สำหรับเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือเดินเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
และส่งท้ายทริปที่ประทับใจนี้ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ กับการเปิดให้เข้าชมพระตำหนักพิพิธภัณฑ์แบบเอ็กคลูซีพ จนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่ในท่ามกลางกรุสมบัติ ของล้ำค่านับไม่ถ้วน พร้อมฟังการบรรยายของอ.ไพศาลย์ ซึ่งเป็นนักสะสมของเก่าตัวยงคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เทคนิคภาพพิมพ์หิน สภาพสมบูรณ์มาก, พระบรมรูปหล่อร. 5 ทั้งแบบฐานเหลี่ยม และฐานกลม ที่หายาก และมีราคา ซึ่งหล่อจากโรงงานในฝรั่งเศสแห่งเดียวกับที่หล่อพระบรมรูปทรงม้า , กรุตาลปัดสำคัญในโอกาสพิธีต่างๆ ของทางราชสำนัก, ถ้วย จานชามโบราณ และวัตถุมีค่าอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งปกติแล้ว พิพิธภัณฑ์ที่นี่ ยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ ต้องทำเรื่องขออนุญาตเป็นครั้งๆไป
หลังจากนั้น เราใช้เวลาที่เหลือกับการชมความงามของพระวิหาร ที่มีลายพระมหามงกุฏอันเป็นตราประจำรัชกาลที่ 4 ประดับอยู่ที่หน้าบันและด้านบนของซุ้มประตูและหน้าต่าง และเดินชมระเบียงคต ซึ่งใต้ฐานพระพุทธรูปรอบระเบียง เป็นที่บรรจุอัฐิของราชสกุลที่สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จบทริปไปด้วยความอิ่มเอมใจ พร้อมกับความประทับใจในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเนื้อหาความเป็นมาของวัดทั้งสามที่มีความเกี่ยวโยงกัน และถ่ายทอดออกมาได้ดีและน่าสนใจยิ่ง
ขอบคุณ ข้อมูลจาก เพจรัตนโกสิเนหา