เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผนึกกำลัง 4 ประสาน รัฐบาล เอกชน ประชาสังคม และเกษตรกร สร้างเครือข่ายเข้มแข็งแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบผลักดันโครงการแม่แจ่มโมเดล ครอบคลุมเต็มพื้นที่เพื่อดำเนินการวางแผนก้าวสู่ความสำเร็จ ขับเคลื่อนโครงการมุ่งสู่นโยบายการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่หลายภาคส่วนในพื้นที่ช่วยกันรณรงค์ป้องกัน และหยุดการเผาป่าพื้นที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” ด้วยเป้าหมายสำคัญ คือ ลดพื้นที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่มพื้นที่ป่าที่จะนำไปสู่การหยุด “หมอกควัน” จากไฟไหม้ป่าได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนถึงการส่งเสริมอาชีพ เพื่อจะลดพื้นที่การปลูกข้าวโพดและพืชเชิงเดี่ยว โดยหันไปปลูกพืชไม้ชนิดอื่นทดแทน อาทิ การปลูกไผ่ และกาแฟ พืชที่สร้างอาชีพ สร้างรายได้ รวมทั้งสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของชุมชน เพื่อยกระดับและปรับเปลี่ยน เศรษฐกิจท้องถิ่นที่ไม่ทำร้ายธรรมชาติ ตลอดจนยกระดับชุมชนไปสู่การทำ Social Enterprise (SE)
จากความร่วมมือของภาคส่วนชุมชนและประชาสังคม 6 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิฮักเมืองแจ๋ม มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ มูลนิธิไทยรักษ์ป่า สถาบันอ้อผะหญา (องค์กรสาธารณประโยชน์) ศูนย์สารสนเทศเพื่อการจัดการทรัพยากรโดยการมีส่วนร่วมอำเภอแม่แจ่ม องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทับ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในการดำเนินการร่วมกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า และการพัฒนาอาชีพเกษตรกรอย่างยั่งยืน ในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
นายเฉลิมเกียรติ พิทาคำ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทับ กล่าวว่า “หากพื้นที่เกิดปัญหาเราต้องเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเพื่อให้ราษฎรในพื้นที่ทำกิน อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องของป่าคือสิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งนี้ภาครัฐได้ผสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน วางกฎและแนวทางการแก้ไขปัญหาขับเคลื่อนเพื่อต้องการแสดงออกให้เชิงนโยบายเกิดความประจักษ์ ถึงปัญหาในพื้นที่ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า สิ่งเหล่านี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับภาครัฐหากต้องทำเพียงผู้เดียว ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางจากหลายภาคส่วน ภาคเอกชน อย่างเช่นเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่เข้ามาร่วมให้การสนับสนุน และบริหารจัดการทุกกระบวนการ ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ รวมถึงการตลาด เป็นการสร้างความมั่นใจให้ชุมชนบ้านกองกายมีความเข้มแข็ง มั่นใจว่าหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะสามารถเป็นต้นแบบให้ประชาชนทุกคนเดินตามทางได้อย่างแน่นอน
ด้าน นายสมเกียรติ มีธรรม เลขานุการมูลนิธิฮักเมืองแจ่ม กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาดำเนินงานที่ผ่านมา ได้เข้ามามีบทบาทดูแลสภาพแวดล้อม สังคมมาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่ ซึ่งเป็นที่มาสู่แนวคิดขับเคลื่อนชุมชน จุดเริ่มต้นการทำงานที่เปลี่ยนชีวิต แนวคิดทัศนคติ เห็นคุณค่าให้ความสำคัญ บริบททางสังคมเลือกทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตนซึ่งกว่าจะมีวันนี้ได้ต้องเผชิญกับอุปสรรคนับประการนำไปเป็นแรงผลักดันในการปฏิบัติหน้าที่ให้ประสบความสำเร็จ ช่วยเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มมิติขององค์ความรู้ สนับสนุนการสร้างอาชีพเพื่อเกิดความยั่งยืนที่ฟื้นฟูธรรมชาติ
นายเคอะ รัตนพงไพรรักษา คณะกรรมการกลุ่มวิสากิจชุมชนเกษตรกรบ้านกองกาย ผู้เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า เหตุที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ เพราะอยากให้ชุมชนบ้านทับ เกิดการเปลี่ยนแปลง สร้างแรงบันดาลใจให้คนรอบข้าง ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ทำกินคือการดำเนินการเกษตรรูปแบบใหม่ในวิถีเดิมที่จะสามารถช่วยลดการบุกรุกพื้นที่ป่าและเพิ่มการฟื้นคืนของธรรมชาติให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้ดียิ่งขึ้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อคนรุ่นหลัง
ขณะที่ นายพัฒฐพงศ์ วุฒิสาร ผู้จัดการแผนก หน่วยงานพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาลและสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร สนับสนุนการขับเคลื่อนชุมชน เกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพไปอีกขั้นในเขตพื้นที่ บ้านกองกาย ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ โดยในช่วงแรกเจออุปสรรคมากมาย ทำให้ท้อบ้างแต่ไม่ถอย เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามา สร้างความท้าทายในการทำงานอย่างเต็มรูปแบบให้อยู่เสมอ นั่นคือโจทย์ที่ต้องทำให้สำเร็จ สร้างความเชื่อมั่นสู่เป้าหมายความสำเร็จร่วมกัน
ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ มุ่งมั่นการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างคุณค่าประโยชน์ร่วมกันทุกด้าน เศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์เครือฯได้มีการขับเคลื่อนควบคู่ตลอดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพตลอดโซ่อุปทานเพื่อให้ตอบโจทย์อาชีพรายได้ของเกษตรกรที่หาทางเลือกใหม่ออกไปจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวสามารถบ่ม เพาะผู้นำ นำความรู้มาปฏิบัติ ถ่ายทอดองค์ความรู้ เเละสร้างความตระหนักเเก้ไขปัญหาเรื่องหมอกควันไฟป่า ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการจัดการป่าอเนกประโยชน์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยศาสตร์พระราชา ปรับเปลี่ยนพื้นที่ด้วยการปลูก พืชแบบผสมผสานและมีจำนวนต้นไม้ที่ดูแลตลอดทั้งโครงการมากถึง 40,102 ต้น ในพื้นที่ จำนวน 93 ไร่ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนา ปรับเปลี่ยนที่ดินทำกินยั่งยืนสืบไป