วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ถูกมองข้าม อย่าโหน กระแสปัญหาเสี้ยวเดียว “จัดการได้ง่าย”

0

บทความโดย ไศลพงศ์ สุสลิลา นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม

ภาพน้ำกำลังท่วมบ้านเรือนจมชุมชนหลายแห่งในไทยและหลายประเทศ สวนทางกับผู้คนบางส่วนยังขาดน้ำกินน้ำใช้ และพื้นที่การเกษตรแตกระแหงเพราะภัยแล้งทำลายโอกาสของเกษตรกร และแผ่นดินไหวพร้อมเขย่าความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนแบบไม่สามารถคาดการณ์ได้ สังคมกลับเลือกที่จะหมุนเข็มทิศไปพูดเรื่องที่เป็นกระแส เช่น ปลาหมอคางดำ ราวกับว่าเป็นภัยพิบัติอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งที่อาจเป็นเพียงกระแสที่ถูกกระพือให้ดูใหญ่เกินจริง การเบี่ยงเบนความสนใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เรามองข้ามภัยพิบัติที่แท้จริง แต่ยังเป็นการถ่วงรั้งการแก้ไขที่เร่งด่วนและจำเป็น

เมื่อเร็วๆ นี้ งานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยพรีมัธ ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า มหาสมุทรของโลกกำลัง ‘มืดลง’ อย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและแหล่งอาหารขนาดใหญ่ของมนุษยชาติ ผลการศึกษาดังกล่าวยังพบอีกว่ามหาสมุทรทั่วโลกประมาณ 21% ซึ่งรวมถึงบริเวณชายฝั่งขนาดใหญ่และมหาสมุทรเปิดกลายเป็นสีเข้มมากขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศในทะเลไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำลายห่วงโซ่อาหารในทะเล เปลี่ยนแปลงการกระจายพันธุ์ และทำให้ความสามารถของมหาสมุทรในการรองรับความหลากหลายทางชีวภาพกับการควบคุมสภาพอากาศ อ่อนแอลง

คนไทยอาจกำลังหลงประเด็นพุ่งเป้าไปที่ปัญหาที่ “จัดการได้ง่าย” หรือ “เป็นกระแส” มากกว่าจะมองว่าเป็นภัยคุกคามที่กัดกร่อนชีวิต ความมั่นคง และอนาคตของประชาชนอย่างต่อเนื่องๆ ภาวะโลกร้อนไม่ใช่แค่เรื่องของโลก แต่คือ “เรื่องของคนไทย” ทุกคน ในช่วงปี 2567 และต้นปี 2568 ประเทศไทยประสบกับสภาพอากาศสุดขั้วหลายระลอก ฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้น อุณหภูมิแตะ 45 องศาเซลเซียสในหลายพื้นที่ ฝนตกหนักกระจุกตัวจนเกิดน้ำท่วมฉับพลันในภาคเหนือและอีสาน รวมถึงพายุไซโคลนรุนแรงในภาคใต้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามวงจร แต่มันคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มนุษย์มีส่วนเร่งเร้า

หลายวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รอวันปะทุ

ภัยแล้ง : เป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจน้อยจนน่าใจหาย หลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางกำลังเผชิญกับระดับน้ำในเขื่อนลดต่ำลงจนใจหายใจคว่ำ แหล่งน้ำธรรมชาติแห้งขอด พื้นดินแตกระแหง เกษตรกรหลายหมื่นรายกำลังดิ้นรนเพื่อหาแหล่งน้ำมาหล่อเลี้ยงพืชผลและปศุสัตว์ ได้แต่หวังว่าฝนจะมาเร็วเติมน้ำให้ทุกหย่อมหญ้า แต่หากฝนมาช้านั่นคือความสูญเสียของพวกเขา โดยเฉพาะชาวบ้านที่ต้องพึ่งพาน้ำจากแหล่งธรรมชาติ การขาดน้ำไม่ใช่แค่ความไม่สะดวก แต่มันคือการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดเพราะ “น้ำคือชีวิต”

น้ำท่วม: น้ำท่วมยังเป็นภัยคุกคามที่กลับมาซ้ำเติมผู้คนทุกปี ความรุนแรงและความถี่ของน้ำท่วมในจังหวัดอุบลราชธานี นครสวรรค์ สุโขทัย และเชียงราย เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ หลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในรอบไม่ถึง 12 เดือน กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็เช่นกัน ภาพของถนนที่กลายเป็นแม่น้ำกลายเป็นเรื่องปกติ ขณะที่ความเสียหายต่อเกษตรกรรายย่อยนับแสนรายกลับถูกมองข้ามราวกับเป็นเพียงตัวเลขในข่าวเศร้า

แผ่นดินไหว: เมื่อต้นปี 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.5-5 ริกเตอร์ หลายครั้งในเชียงรายและลำปาง โดยเฉพาะแผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาระดับ 8.2 ริกเตอร์เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายจังหวัดในประเทศไทยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ถ้วนหน้า นักวิชาการเตือนว่าความถี่ของการเกิดแผ่นดินไหวที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่ไม่เคยสงบ หากเกิดขึ้นในพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานอ่อนแอ ผลลัพธ์จะรุนแรงเกินกว่าที่คาดคิด

เป็นความจริงที่ปลาหมอคางดำอาจเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงนิเวศของแหล่งอาหาร ทำลายที่อยู่อาศัย และคุกคามความมั่นคงทางการเกษตรแล้ว ปลาหมอคางดำไม่สามารถทำให้คนไทยขาดน้ำ ไม่ทำให้ดินถล่ม หรือทำให้บ้านเรือนจมหายไปในน้ำ แต่มันกลับได้รับการจัดอันดับเป็นภัยคุกคามสำคัญ ทั้งที่วิกฤตที่แท้จริงกำลังลุกลามอย่างไร้การยับยั้ง สังคมจำเป็นต้องตื่นรู้และยกระดับการรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างบูรณาการ ต้องมีระบบเตือนภัยและระบบฟื้นฟูที่เข้าถึงทุกพื้นที่ ไม่ใช่แค่ในเมืองใหญ่ แต่ลงลึกถึงทุกชุมชนที่ได้รับผลกระทบ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และการใช้พลังงานสะอาดไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นทางรอด หากเรายังมัวแต่หลงประเด็นกับปัญหาที่จัดการง่ายและเป็นกระแส สุดท้าย…วิกฤตตัวจริงจะมาถึงโดยไม่มีใครพร้อมรับมือ