เผลอแป๊บเดียวคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” ก็เดินทางเข้าสู่เดือน ธ.ค.เดือนสุดท้ายของปี 2565 แล้ว ช่วงที่ผ่านมา ก็เป็นเวลาที่บรรดาบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทยอยออกมาแจ้งผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของแต่ละ บจ. กันเป็นระยะ จนครบทุกบริษัท
และล่าสุดทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ทำการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลผลประกอบการของ บจ. ทั้งหมดอย่างเป็นทางการซึ่งในภาพรวม ผลดำเนินงานรวม 3 ไตรมาส หรือ 9 เดือน ของ บจ.ในตลาดหุ้นไทย มีตัวเลขยอดขายและกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แบบดีวันดีคืน
จากการเปิดเผยของคุณแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มี บจ. 780 บริษัทจากทั้งหมด 798 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2565 สิ้นสุด 30 กันยายน 2565 โดยมี บจ.ที่รายงานว่าตัวเองมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 593 บริษัท หรือ 76.1% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
โดยตัวเลขยอดขายปี 65 รวม 9 เดือนของ บจ. ใน SET เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน พุ่งทะยานถึง 13,171,982 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.1% ขณะที่ตัวเลขต้นทุนการผลิตของ บจ. อยู่ที่ 10,302,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.9%
ส่วนกำไรจากการดำเนินงานหลักก็เพิ่มขึ้น 25.6% เท่ากับ 1,489,550 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 825,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2565 บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.54 เท่า เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน
เป็นผลมาจากภาคเศรษฐกิจที่เติบโตดี และฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากการยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด รวมถึงการเปิดประเทศ ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ตลอดจนการใช้จ่ายของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย
ธุรกิจที่ได้อานิสงส์เติบโตได้ดีคือ กลุ่มธุรกิจธนาคารและบริษัทเงินทุนมีการขยายตัวด้านสินเชื่อได้ดี ขณะที่ธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจโรงพยาบาลก็มียอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจโรงแรมมียอดขายเพิ่มขึ้นและมีผลขาดทุนลดลง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่องความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยน ยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและอัตราการทำกำไรของ บจ.
ด้านตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) บจ. ในตลาด mai ก็มียอดขายเติบโตสูงขึ้นเช่นเดียวกันเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มธุรกิจการเงิน ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจจัดงานอิเวนต์ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ก็เริ่มฟื้นตัว รวมถึงธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว
ผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 65 ของ บจ. ใน mai จำนวน 185 บริษัท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 153,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ต้นทุนขาย 121,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.0% กำไรจากการดำเนินงาน 8,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% และมีกำไรสุทธิรวม 6,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0%
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มียอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี.
คุณนายพารวย
ที่มา คอลัมน์รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ