ภาพเท็จ-บิดเบือนข้อมูล ไม่รอดคดี “ปลาหมอคางดำ” ความจริงที่สังคมควรรู้

0

บทความโดย สมสมัย หาญเมืองบน นักวิชาการอิสระ

กรณี “ปลาหมอคางดำ” กลายเป็นข้อพิพาททางกฎหมายที่สาธารณชนจับตามององค์กร NGO แห่งหนึ่ง นำภาพและข้อมูลที่บิดเบือน ไปนำเสนอในการเสวนาวิชาการเพื่อเรียกความสนใจต่อสาธารณะ ทั้งที่หลักฐานถูกตรวจสอบอย่างรอบคอบโดยบริษัทเอกชนที่ถูกกล่าวอ้างชี้ชัดว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ตรงกับความจริง ส่งผลให้อัยการจังหวัดนนทบุรีสั่งฟ้องเป็นคดีตามหลักฐานจริง ถือเป็นการปกป้องชื่อเสียงและสิทธิของบริษัทที่สามารถทำได้ ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเรียกสอบพยานของศาล จึงไม่น่าเข้าข่าย SLAPP แต่เป็นคดีทางกฎหมายที่มีมูลตามข้อเท็จจริง

จากข้อมูลที่ตรวจสอบได้ทั้งในทางวิชาการและทางกฎหมาย ภาพและข้อมูลที่ถูกนำไปอ้างอิงโดยองค์กรไม่แสวงผลกำไรในการจัดเสวนาสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 มีการใช้ภาพและข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ ทั้งในเวทีสาธารณะและสื่อโซเชียล เพื่อชี้ให้สังคมเห็นว่าบริษัทเอกชน เป็นผู้ก่อปัญหาปลาหมอคางดำ

การแถลงข่าวของบริษัท เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 โดยบริษัทยืนยันว่า “เป็นภาพเท็จและข้อมูลบิดเบือน” ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของบริษัท ภาพดังกล่าวไม่ได้ถ่ายจากฟาร์มของบริษัท และหลักฐานทางวิชาการหลายชุดยืนยันว่า บริษัทปฏิบัติตามมาตรฐานและการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด การใช้ภาพและข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนี้สร้างความเข้าใจผิดในสังคม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท ทั้งในและต่างประเทศ

ผลกระทบจากการนำเสนอข้อมูลบิดเบือนในลักษณะนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่ที่ภาพลักษณ์ของบริษัท แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นักลงทุน และประชาชนทั่วไป การที่องค์กรดังกล่าว ไม่เคยเปิดเผยแหล่งที่มาของภาพและไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาพที่นำเสนอ แสดงให้เห็นถึงการรับทราบความไม่ถูกต้องของข้อมูลและการตั้งใจนำเสนอเพื่อสร้างผลลัพธ์ต่อสาธารณะ

เมื่อพิจารณาในมิติทางกฎหมาย เหตุการณ์นี้ทำให้บริษัทเอกชน มีสิทธิ์ในการปกป้องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท อัยการจังหวัดนนทบุรีได้พิจารณาหลักฐานที่บริษัท นำเสนอ และเห็นว่ามีมูลเพียงพอในการฟ้ององค์กรไม่แสวงผลกำไรดังกล่าวตามข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” ซึ่งแม้อัยการไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ แต่การสั่งฟ้องแสดงถึงการประเมินหลักฐานเบื้องต้นแล้วว่าข้อกล่าวหามีความน่าเชื่อถือพอสมควร และขณะนี้คดีอยู่ในขบวนการเรียกสอบพยานของศาลจังหวัดนนทบุรี

สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นคือ การฟ้องจำเลยในกรณีนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับ SLAPP : Strategic Lawsuit Against Public Participation (การฟ้องคดีเพื่อปิดปาก) ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีที่บริษัทใหญ่ใช้ศาลเพื่อทำให้ประชาชนหรือ NGO หยุดวิพากษ์วิจารณ์ โดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ ในกรณีปลาหมอคางดำ การฟ้องเกิดขึ้นเพราะมีการใช้ข้อมูลเท็จและบิดเบือนต่อสาธารณะ การดำเนินคดีจึงเป็นการฟ้องเพื่อปกป้องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัทอย่างชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เพื่อปิดปากนักปกป้องสิ่งแวดล้อม

อีกทางหนึ่ง การนำเสนอข้อมูลใดๆ โดยองค์กรไม่แสวงผลกำไร ที่มีการพาดพิงบริษัท หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งขององค์กร เป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบความชัดเจนและถูกต้องที่สุด ซึ่งจะมีผลต่อความน่าเชื่อถือของสังคมทั้งในและต่างประเทศ แต่ในกรณีนี้ ความไม่ถูกต้องของข้อมูลทำให้ผลลัพธ์ทางสังคมเกิดความเสียหายต่อบริษัทโดยตรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรมและกฎหมายขององค์กรไม่แสวงผลกำไร ต่อข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ

ข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทเอกชน มีสิทธิชัดเจนในการดำเนินคดี และการฟ้ององค์กรดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามหลักฐานที่ตรวจสอบได้รอบด้าน ทั้งในเรื่องของภาพและข้อมูลที่ใช้ในการเสวนาวิชาการ เรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเรียกสอบพยานของศาลจังหวัดนนทบุรี การประเมินเบื้องต้นจึงชี้ให้เห็นว่าคดีมีมูลและไม่ใช่การฟ้องเพื่อปิดปาก

ในยุคที่ข้อมูลบิดเบือนสื่อสารได้แพร่หลายและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสาธารณะ การชี้แจงข้อเท็จจริงและการยืนอยู่บนหลักฐานเชิงรอบด้านมีความสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม กรณี “ปลาหมอคางดำ” เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างให้สังคมตระหนักว่า การเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่อสาธารณะไม่ใช่เสรีภาพที่สามารถทำได้โดยปราศจากผลทางกฎหมาย และการฟ้องร้องของบริษัทจากหลักฐานข้อมูลเท็จเป็นเรื่องที่ศาลสามารถพิจารณาและสั่งคดีตามขั้นตอนได้

ท้ายที่สุด สิ่งที่สังคมควรรู้คือ คดีนี้เป็นตัวอย่างของความจำเป็นในการตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านก่อนเผยแพร่ และการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อปกป้องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นสิทธิ์ตามกฎหมายที่บริษัททุกแห่งสามารถใช้ได้เพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากข้อมูลบิดเบือน.