นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทิศทางการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือน มิ.ย.คือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (NFP) ประจำเดือน พ.ค. ซึ่งทางทรีนีตี้ประเมินว่า หากออกมาในระดับ 6.5 แสนตำแหน่ง หรือต่ำกว่า น่าจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการส่งสัญญาณ QE Tapering ออกไปในการประชุม วันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ ในกรณีนี้ มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัว Sideways up โดยมองกรอบแนวต้านสูงสุดของเดือนที่ 1,650 จุด ในทางกลับกันหากตัวเลข NFP ดังกล่าวออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดอย่างมีนัยสำคัญ อาจทำให้นักลงทุนกังวลต่อการส่งสัญญาณ QE Tapering ของเฟดก่อนกำหนดได้ ซึ่งในกรณีนี้ มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัว Sideways down โดยมองกรอบแนวรับลึกสุดของเดือนที่ 1,550 จุด
นายณัฐชาต กล่าวถึงธีมการลงทุนเดือน มิ.ย.แนะนำให้ลงทุนหุ้นแบบ Mix & Match เน้นกลุ่มหลัก คือ กลุ่ม Global play โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกและโลจิสติกส์ โดยหุ้นส่งออกแนะนำ กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ อาทิ HANA, KCE, SMT เพราะจะได้รับอานิสงส์จากธีมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 5G และรับอานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับกลุ่มโลจิสติกส์ ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากปริมาณการค้าขายระดับโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ว่ามาร์จิ้นจะถูกกระทบจากค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูงแต่จะถูกชดเชยด้วยปริมาณวอลุ่มที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน มองตัวที่น่าสนใจได้แก่ LEO, SONIC, WICE
“ดัชนี Global manufacturing PMI ยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงคำสั่งซื้อทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง เป็นบวกต่อหุ้นส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากนั้น ดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการขนส่งสินค้าที่อยู่สูงต่อไป เป็นบวกกับหุ้นกลุ่มโลจิสติกส์” นายณัฐชาต กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากกลุ่ม Global play แล้ว แนะนำเก็งกำไรไปยังกลุ่มหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic play) และหุ้นธีมเปิดเมือง (Reopening) ซึ่งราคาปรับตัวลงมาลึก จนมี Downside ในแง่ของ Valuation จำกัดแล้ว แนะนำ KBANK, BJC, CPN ,CRC และ MTC
นายณัฐชาต กล่าวว่า ในภาวะที่ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกจะเริ่มเข้ามามากขึ้นในเดือนนี้ อยากแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มหุ้นกลุ่ม Low beta อย่างโรงไฟฟ้าเข้ามาในพอร์ต เพื่อที่จะทำให้ความผันผวนของพอร์ตลดลง อีกทั้งไตรมาส 2 จะเป็นช่วง High season ของหุ้นกลุ่มนี้ พร้อมยังมีกำลังการผลิตใหม่ ๆ เข้ามา และไม่มีการปิดซ่อมบำรุงที่สำคัญ จึงคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 นี้จะสามารถเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มองหุ้นใหญ่ในกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ BGRIM, GPSC และหุ้นกลาง-เล็ก ที่น่าสนใจได้แก่ ACE, SSP, TPCH