ต่างถิ่นแต่ไม่ไร้ค่า ปลาหมอคางดำไม่ใช่ปลามลพิษ

0

ตลอดช่วงที่ผ่านมา สังคมไทยได้เห็นกระแสการถกเถียงเกี่ยวกับ “ปลาหมอคางดำ” อย่างกว้างขวาง บางกระแสกลับเลือกใช้ถ้อยคำชี้นำไปในทางลบ โดยระบุว่าปลาชนิดนี้คือ “มลพิษ” ที่กำลังคุกคามสิ่งแวดล้อมและอาจก่ออันตรายต่อผู้บริโภค การกล่าวหาลักษณะเช่นนี้แม้จะสะท้อนความกังวล แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วกลับมีความคลาดเคลื่อนทางวิชาการ และอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรการจัดการที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

ในทางกฎหมาย “มลพิษ” หมายถึงสิ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมหรือสร้างผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ เสียง หรือเชื้อโรค หากเทียบกับปลาหมอคางดำซึ่งเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่เข้ามาอาศัยและแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำไทย จะเห็นได้ชัดว่าไม่เข้าลักษณะดังกล่าว ปลาชนิดนี้ไม่ได้ผลิตสารอันตราย ไม่เป็นพาหะโรคร้าย และไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าการบริโภคจะก่อพิษภัยต่อมนุษย์ ดังนั้น การเหมารวมว่าเป็น “มลพิษ” จึงไม่สอดคล้องกับนิยามเชิงกฎหมายและวิทยาศาสตร์

แน่นอนว่าปลาหมอคางดำมีพฤติกรรมแพร่พันธุ์รวดเร็วและอาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ จึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสัตว์น้ำต่างถิ่นที่รุกราน แต่คำว่า “รุกราน” ไม่ได้หมายถึง “เป็นพิษ” หากมองในอีกแง่หนึ่ง ความสามารถในการปรับตัวของปลาชนิดนี้กลับสะท้อนศักยภาพที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่อาหารโปรตีนราคาประหยัดที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม เช่น ปลาแดดเดียว น้ำปลา ข้าวเกรียบ หรือแม้แต่วัตถุดิบสำหรับทำน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ในภาคเกษตรกรรม

งานศึกษาจากหลายสถาบันยืนยันตรงกันว่า เนื้อปลาหมอคางดำไม่พบการปนเปื้อนสารเคมีอันตรายหรือเชื้อโรคที่สร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค คุณค่าทางโภชนาการไม่ต่างจากปลานิลหรือปลาทับทิมที่คุ้นเคยกันในตลาด การเผยแพร่ข้อมูลว่าเป็นปลามลพิษจึงไม่เพียงผิดพลาดในเชิงวิชาการ แต่ยังบั่นทอนโอกาสในการสร้างโอกาสใหม่ที่เชื่อมโยงทั้งภาคการประมงและเกษตรแปรรูป ข้อเท็จจริงเช่นนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับนโยบายในอดีตที่เคยผลักดันให้ใช้ปลาหมอคางดำเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ไม่ว่าจะในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารหรือ การทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพที่ให้ประสิทธิภาพดีในสวนยาง

การมองปลาหมอคางดำด้วยทัศนะที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและมุ่งกำจัดให้สิ้นซาก ไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน สิ่งที่จำเป็นกว่าคือการวางแผนจัดการอย่างมีระบบและตั้งอยู่บนข้อมูลจริง แนวทางเช่นนี้อาจประกอบด้วยการส่งเสริมให้มีการจับขึ้นมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างรายได้เสริมแก่ชุมชน ตลอดจนการควบคุมจำนวนประชากรด้วยกลไกทางธรรมชาติ ซึ่งล้วนเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับทั้งมิติด้านนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม

ท้ายที่สุด บทเรียนจากกรณีปลาหมอคางดำชี้ให้เห็นว่า สังคมไม่ควรปล่อยให้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนครอบงำการตัดสินใจ หากมองด้วยสายตาที่ตั้งอยู่บนวิทยาศาสตร์ ปลาชนิดนี้ไม่ใช่ “ศัตรูของสิ่งแวดล้อม” แต่คือทรัพยากรใหม่ที่รอการจัดการอย่างชาญฉลาด โลกยุคปัจจุบันซึ่งทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอลงทุกวัน กำลังท้าทายให้เรารู้จักเปลี่ยนสิ่งที่ดูเหมือนปัญหาให้กลายเป็นโอกาส และหากทำได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะคลี่คลายความขัดแย้งทางความเข้าใจ แต่ยังจะเปิดทางให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ.