สังคมไทยและนักวิชาการทางสิ่งแวดล้อมจำนวนไม่น้อย ยังติดตามปัญหาการส่งออกปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) จากประเทศไทยสู่ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพราะปลาในกลุ่มนี้ถือเป็นชนิดพันธุ์รุกราน (Invasive Species) ที่สามารถส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศในพื้นที่ต่างๆ ข้อมูลการส่งออกสัตว์น้ำของกรมประมงระหว่างปี 2556-2559 มีบริษัทไทยทั้งหมด 11 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกปลาหมอคางดำ แต่การตรวจสอบและติดตามผลของบริษัทเหล่านี้ยังไม่ครบถ้วนและไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ 6 บริษัทที่เหลือยังไม่ได้ให้ข้อมูลหรือเอกสารที่สนับสนุนการส่งออก
คำถามสำคัญ คือ ทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ตรวจสอบบริษัททั้งหมด ทั้งที่มีความเสี่ยงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและกฎหมาย การละเว้นนี้ไม่เพียงสร้างความไม่ยุติธรรมต่อ 5 บริษัทที่เข้ามาให้ข้อมูลแล้ว แต่ยังเปิดช่องว่างให้เกิดการลักลอบการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมายต่อเนื่อง ส่งผลต่อระบบการตรวจสอบของประเทศ
หลักการในตลาดค้าปลาทั่วโลก คือ การใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name) เป็นตัวระบุชนิดพันธุ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐานทางวิชาการ เนื่องจากชื่อสามัญ (common name) อาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศหรือท้องถิ่น และหลายชนิดพันธุ์มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
กรณีของ 11 บริษัทส่งออก ที่อ้างว่าเกิดจาก “การกรอกเอกสารผิดพลาด” เหมือนกันทั้งหมด เกิดคำถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร?” เพราะการส่งออกสัตว์น้ำต้องผ่านหลายขั้นตอนตรวจสอบ เช่น การตรวจรับจากฟาร์ม การออกใบรับรองสุขภาพสัตว์น้ำ การตรวจเอกสารส่งออก และการควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ หากเกิดข้อผิดพลาดซ้ำกันในบริษัทดังกล่าวทั้งหมดเป็นเวลา 4 ปีต่อเนื่อง แสดงว่าไม่ได้เป็นเพียง “ข้อผิดพลาดเล็กน้อย” แต่เป็นปัญหาการตรวจสอบทั้งระบบ และการจัดการที่ถูกต้อง
รายงานการส่งออกสัตว์น้ำของกรมประมงระหว่างปี 2556-2559 พบว่า ทั้ง 11 บริษัท ไม่ปรากฏประวัติการนำเข้าปลาหมอคางดำ แต่กลับมีประวัติการส่งออกไปถึง 17 ประเทศ คำถามคือ หากไม่มีการนำเข้าที่ถูกต้อง ปลาที่ส่งออกนำมาจากไหน และทำไมสามารถผ่าน การตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
มีเพียงคำชี้แจงว่าเป็น “ข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูล” ซึ่งขัดกับหลักการตรวจสอบหลายชั้น รวมถึงการรับรองจากหน่วยงานที่กำกับดูแล จึงควรมีการสอบทานเพิ่มเติม เพราะระบบการส่งออกกำหนดไว้เงื่อนไขไว้อย่างรัดกุม การที่ปลายทางได้รับสินค้าโดยไม่เกิดข้อสงสัย แสดงว่าข้อผิดพลาดนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับระบบตรวจสอบทั้งหมด
หนึ่งในข้อสงสัยอีกประการ คือ บริษัททั้ง 11 แห่ง กรอกเอกสารผิดแบบเดียวกันเป็นเวลา 4 ปีต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีหน่วยงานใดตรวจพบหรือเรียกแก้ไข การผิดพลาดซ้ำหลายครั้งในลักษณะเดียวกันโดยไม่มีการสังเกตเห็น สะท้อนความหละหลวมของระบบการกำกับดูแล และสร้างข้อสงสัยว่าเกิดจากความประมาทหรือการละเลยอย่างเป็นระบบ
ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังสามารถประสานข้อมูลกับกรมศุลกากร เพื่อตรวจสอบประวัติการส่งออกของแต่ละบริษัท ซึ่งจะช่วยยืนยันว่าเอกสารและสินค้าที่ส่งออกตรงกับรายงานจริง และติดตามที่มาของปลา ยังเป็นคำถามว่าได้ดำเนินการหรือไม่?
อีกคำถามสำคัญ คือ ทำไมหน่วยงานของรัฐจึงไม่ใช้วิธีการประสานข้ามหน่วยงานเพื่อตรวจสอบบริษัท 11 แห่ง โดยเฉพาะ 6 บริษัทที่ยังไม่ให้ข้อมูล การไม่ใช้มาตรการเชิงรุกเช่นนี้ไม่เพียงสร้างความไม่ยุติธรรมต่อ 5 บริษัทที่ให้ข้อมูลแล้ว แต่ยังเปิดโอกาสให้เกิดมีการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
การตรวจสอบเอกสารและประวัติการส่งออกของบริษัททั้งหมด มีความจำเป็นต่อการพิสูจน์ทางพันธุกรรม (DNA) ของปลาที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน การระบุสายพันธุ์และแหล่งที่มาผ่าน DNA เป็นหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์สำคัญในการยืนยันว่าปลาที่แพร่ระบาดเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ส่งออกหรือไม่
การไม่ตรวจสอบบริษัททั้งหมด อาจทำให้ข้อมูลพันธุกรรมคลาดเคลื่อน และไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าปัญหาการแพร่พันธุ์เกิดจากแหล่งใด จึงจำเป็นมากที่ต้องมีการตรวจสอบให้ครบทุกบริษัท
การละเว้นการตรวจสอบไม่เพียงสร้างความไม่ยุติธรรมต่อบริษัทที่ให้ข้อมูลแล้ว แต่ยังเป็นช่องว่างให้เกิดการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมาย อีกทั้งการนำเข้าและส่งออกปลาที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพรุนแรงปลาที่ไม่ได้รับการควบคุมสามารถแพร่เข้าสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ก่อให้เกิดการเบียดเบียนพันธุ์ปลาท้องถิ่นและทำลายระบบนิเวศ
นอกจากนี้ การปล่อยให้ช่องว่างเกิดขึ้น ยังทำลายความน่าเชื่อถือต่อมาตรฐานการค้าและการตรวจสอบสัตว์น้ำของประเทศไทยในอนาคต
กรณีการส่งออกปลาหมอคางดำของบริษัท 11 แห่ง สะท้อนถึงปัญหาระบบการตรวจสอบและกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ ความไม่ชัดเจนและการละเว้นการตรวจสอบ ฝากคำถามที่ยังรอคำตอบ เพื่อช่วยกันหยุดวงจรการลักลอบนำเข้าปลา:
- ทำไมบริษัท 11 แห่ง จึงสามารถระบุชื่อวิทยาศาสตร์ผิดซ้ำกันต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปี โดยไม่ถูกตรวจสอบหรือแก้ไข?
- ทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่ประสานข้อมูลกับศุลกากรเพื่อตรวจสอบประวัติการส่งออก?
- ทำไมเอกสารและการตรวจสอบของอีก 6 บริษัท ที่ยังไม่ให้ข้อมูลจึงไม่ถูกเรียกให้ชี้แจง?
- การไม่ตรวจสอบครบทุกบริษัท ส่งผลต่อการพิสูจน์ DNA ของปลาที่แพร่ระบาดหรือไม่?
- การละเว้นการตรวจสอบเสี่ยงให้มีการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมายและกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร?
กรณีปลาหมอคางดำเป็นตัวอย่างชัดเจนของปัญหาการกำกับดูแลเชิงระบบ การละเว้นการตรวจสอบและการไม่เรียกให้บริษัททั้ง 11 แห่ง ไปชี้แจงข้อมูลให้ครบถ้วนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของประเทศ การตรวจสอบเชิงรุกอย่างเข้มงวดและการพิสูจน์ DNA ไม่ใช่เพียงมาตรการวิชาการ แต่เป็นความจำเป็นเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการค้าไทยและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และยังเป็นป้องกันการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมายและการแพร่พันธุ์ของสายพันธุ์รุกราน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อสาธารณะและอนาคตของระบบนิเวศไทย.







