เกือบสองปีแล้วที่สังคมไทยตั้งคำถามว่า “ปลาหมอคางดำ” ที่กระจายไปหลายจังหวัด มาจากที่ไหน? นำเข้ามาครั้งเดียว หรือหลายครั้ง? และบริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นต้นทางจริงหรือไม่? คำถามเหล่านี้ จำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดและได้รับยอมรับ
แม้จะมีงานวิจัยของกรมประมงชิ้นหนึ่งที่ถูกอ้างถึงบ่อยๆ ว่า “ดีเอ็นเอ ของปลาหมอคางดำในไทยน่าจะมาจากแหล่งเดียวกัน” แต่ในความจริงเรายังไม่มีหลักฐานทางพันธุกรรมที่ชัดเจนพอจะยืนยันข้อสรุปนี้ได้ โดยงานวิจัยดังกล่าวพบว่า ค่าความหลากหลายของ haplotype (Hd) บางพื้นที่ค่อนข้างสูง แต่ความแตกต่างเชิงลึกของลำดับนิวคลีโอไทด์ (Pi) ต่ำมาก แปลว่ามี “หลายแบบแต่คล้ายกันมาก” ซึ่งตีความได้หลายอย่าง ไม่ใช่เฉพาะกรณี “นำเข้ามาครั้งเดียว”
ผลการตีความจากงานชิ้นเดียว ไม่อาจตอบคำถามระดับประเทศได้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยยังไม่มีฐานข้อมูลพันธุกรรมปลาหมอคางดำที่เป็นมาตรฐานสากล และยังไม่เคยมีหน่วยงานกลางรับรองข้อมูลงานวิจัยอย่างเป็นทางการ
การพิสูจน์ดีเอ็นเอของสัตว์ต่างถิ่น (Invasive species) ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้านและทำซ้ำหลายรอบเพื่อความแม่นยำและไม่ผิดพลาด หากแต่บทความวิจัยที่ถูกกล่าวถึงมีข้อจำกัดสำคัญ 5 ประการ ที่สังคมควรรับรู้ คือ
- ใช้เครื่องหมายพันธุกรรมเพียงชนิดเดียว (mtDNA – D-loop) เนื่องจาก mtDNA บอกข้อมูลเฉพาะ “สายแม่” ไม่ครอบคลุมโครงสร้างประชากรทั้งหมด และไม่พอสำหรับการยืนยันต้นทางของประชากร
- จำนวนตัวอย่างน้อยไปเพียง 125 ตัว ไม่ครอบคลุมพื้นที่ที่ปลาหมอคางดำระบาดทั้งหมด ทำให้ภาพรวมอาจคลาดเคลื่อน
- ไม่ได้ใช้ marker ที่ให้ข้อมูลลึก เช่น microsatellite หรือ SNP ซึ่งเครื่องหมายเหล่านี้จำเป็นต่อการแยกประชากรย่อย และตรวจสอบว่ามีการนำเข้าหลายครั้งหรือไม่
- ไม่มีตัวอย่างจาก “ต้นทางต่างประเทศ” มาเปรียบเทียบ หากไม่มี reference จากประเทศที่ถูกอ้างว่าเป็นแหล่งนำเข้า ก็ไม่สามารถระบุต้นกำเนิดได้เด็ดขาด
- การตีความ Hd สูงแต่ Pi ต่ำ ต้องวิเคราะห์เชิงลึกมากกว่าแค่ค่าตัวเลข ซึ่งจำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์โครงสร้างประชากร เช่น Bayesian clustering เพื่อยืนยันว่ามาจากแหล่งเดียวหรือหลายแหล่ง
ดังนั้น การอ้างผลวิจัยเบื้องต้นเพียงชิ้นเดียวและด่วนสรุปไปชี้นำสังคม โดยที่ “ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ยืนยัน” อาจทำให้เกิดผลกระทบหลายด้าน โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจผิดให้กับสาธารณะ
นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อมูลทางพันธุกรรมที่รับรองโดยหน่วยงานกลาง ว่าปลาหมอคางดำที่ถูกส่งออกโดย 11 บริษัทไทย มีต้นทางพ่อแม่พันธุ์มาจากประเทศใดกันแน่
สิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการตอนนี้ เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับกรณีปลาหมอคางดำ และพิสูจน์ความจริงในประเด็นนี้อย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย คือ
- สร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมปลาหมอคางดำที่เป็นมาตรฐานสากล ทั้งจากประเทศไทยและประเทศต้นทาง
- การตรวจสอบซ้ำโดยใช้หลายเครื่องหมายพันธุกรรม เช่น microsatellite และ SNP เพื่อให้ผลแม่นยำและตรวจสอบได้
- หาหน่วยงานกลางที่น่าเชื่อถือรับรองผลวิจัย เพื่อให้สังคมมั่นใจว่าข้อสรุปเป็นกลางและตรวจสอบได้จริง
- การสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใส ไม่ชี้นำก่อนมีหลักฐานเพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลหรือองค์กรใดโดยไม่จำเป็น ความจริงต้องอาศัย “ข้อมูลที่ตรวจสอบได้” ไม่ใช่ความเชื่อหรือแรงกดดันทางสังคม
กรณีปลาหมอคางดำเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าผลการวิจัยหนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ไม่ควรเป็นคำตอบสุดท้ายของทั้งประเทศ หากแต่การใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำ โปร่งใส และผ่านการตรวจสอบจากหลายฝ่าย จะช่วยให้สังคมเข้าใจด้วยข้อเท็จจริง ช่วยคลี่คลายข้อสงสัยได้อย่างสันติ และยุติธรรมกับทุกฝ่าย
ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการใช้ “ข้อมูลพันธุกรรมที่ได้รับการรับรอง” เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างถูกต้อง ไม่ใช่การด่วนสรุปจากผลการศึกษาเบื้องต้นที่อาจทำให้สังคมหลงทาง ความจริงทางวิทยาศาสตร์ต้องมาจากข้อมูลที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่จากงานวิจัยเพียงชิ้นเดียว.







