Home ข่าวทั่วไป คำพิพากษาศาลตัดสิน บัตรเครดิตถูกรูดโดยมิชอบ “ภาระพิสูจน์อยู่ที่ธนาคาร” ไม่ใช่เจ้าของบัตร

คำพิพากษาศาลตัดสิน บัตรเครดิตถูกรูดโดยมิชอบ “ภาระพิสูจน์อยู่ที่ธนาคาร” ไม่ใช่เจ้าของบัตร

0

อ้างอิงจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2568 ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ในการตัดสินคดีระหว่างธนาคารและผู้บริโภคที่ถูกมิจฉาชีพดูดเงินหรือแอบรูดบัตร โดยฎีกาใหม่ดังกล่าว ถือเป็นข่าวดีและเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิตทุกคน เมื่อล่าสุด มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2568 (ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2568) ที่ออกมาคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในกรณีถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลบัตรไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

🔍 เกิดอะไรขึ้นในคดีนี้?

คดีนี้เริ่มจากผู้บริโภคถูกมิจฉาชีพขโมยข้อมูลบัตรไปรูดซื้อสินค้า โดยที่เจ้าของบัตรไม่ได้เป็นคนทำรายการและไม่ได้ยินยอม แต่ทางธนาคารผู้ออกบัตรกลับเรียกเก็บเงินและฟ้องร้องให้เจ้าของบัตรชำระหนี้ โดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าของบัตรตามสัญญา

⚖️ ศาลฎีกาตัดสินอย่างไร?

ศาลมีคำสั่ง “ยกฟ้อง” โดยให้เหตุผลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของบัตร

  1. ภาระการพิสูจน์เป็นของธนาคาร: เมื่อเกิดข้อพิพาทว่า “ใครเป็นคนใช้บัตร?” ธนาคารต้องเป็นฝ่ายนำสืบให้ชัดเจน เพราะธนาคารเป็นเจ้าของระบบ เป็นผู้จัดทำระบบยืนยันตัวตน และเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการให้บริการ
  2. ห้ามสันนิษฐานลอยๆ: ศาลเห็นว่าหากมีรายการใช้งานเกิดขึ้น จะไปเหมาเอาเองว่าเจ้าของบัตรเป็นคนใช้ไม่ได้ (ถ้าเจ้าของบัตรยืนยันว่าไม่ได้ทำ)
  3. ถ้าพิสูจน์ไม่ได้…ผู้บริโภคไม่ต้องจ่าย: หากธนาคารไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเจ้าของบัตรทำรายการเอง หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ศาลจะไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบหนี้ที่มิจฉาชีพก่อขึ้น

💡 คำแนะนำสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิต (How-to Protect Yourself)

ถึงแม้กฎหมายจะคุ้มครองเรามากขึ้น แต่การป้องกันเบื้องต้นก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น เจ้าของบัตรเองก็ควรมีแนวทางป้องกันหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับตัวเอง

  • หมั่นเช็ก Notification: เปิดแจ้งเตือนการใช้งานผ่านแอปฯ ธนาคารตลอดเวลา
  • ปฏิเสธทันที: หากพบรายการผิดปกติ ให้รีบโทรอายัดบัตรและปฏิเสธยอดใช้จ่าย (Transaction Dispute) ทันที
  • เก็บหลักฐาน: แคปหน้าจอรายการที่ผิดปกติ หรือเก็บประวัติการแจ้งความ/การโทรติดต่อธนาคารไว้เสมอ

บทสรุป: คำพิพากษานี้ช่วยยกระดับความปลอดภัยในวงการเงิน บีบให้สถาบันการเงินต้องพัฒนาระบบยืนยันตัวตนให้รัดกุมขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ภาระตกอยู่ที่ผู้บริโภคฝ่ายเดียวเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา