Home Blog Page 210

OR มอบถุงยังชีพ เร่งบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ และผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น จ.นครสวรรค์ ร่วมบรรจุและส่งมอบถุงยังชีพ จำนวน 400 ชุด รวมมูลค่า 200,000 บาท ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในอำเภอท่าตะโก และอำเภอลาดยาว จ.นครสวรรค์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย การมอบถุงยังชีพในครั้งนี้ ถือเป็นความตั้งใจของโออาร์และผู้แทนจำหน่าย พีทีที สเตชั่น ในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงสถานการณ์วิกฤต รวมถึงเป็นความร่วมมือของผู้แทนจำหน่าย พีทีที สเตชั่น ในจ.นครสวรรค์ ที่ร่วมช่วยกันดูแลสังคมชุมชนโดยรอบสถานีบริการ

ทั้งนี้ โออาร์ และได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่าย พีทีที สเตชั่น ในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ ได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่าย พีทีที สเตชั่น จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดสุโขทัย ในการช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดพื้นที่สถานีบริการให้เป็นหน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย หรือการจัดถุงยังชีพและอาหารกล่อง และส่งมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ใกล้เคียง

โออาร์ ยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ สอดคล้องกับแนวคิด Living Community ของ พีทีที สเตชั่น ที่พร้อมเติมเต็มทุกความสุข และมุ่งสร้างคุณค่าและการมีส่วนร่วมกับชุมชน เป็นศูนย์กลางพัฒนาคุณภาพชีวิตและร่วมฝ่าวิกฤตนี้ไปพร้อมกัน

OR ต่อยอดความร่วมมือ แฟลช เอ็กซ์เพรส เปิดจุดส่งพัสดุด่วนในคาเฟ่ อเมซอน ทั่วประเทศ

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า โออาร์ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้ให้บริการขนส่งแบบครบวงจรอย่าง แฟลช เอ็กซ์เพรส ในการสร้างทางเลือกในการดำเนินชีวิตแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกไลฟ์สไตล์ โออาร์ จึงได้นำศักยภาพในด้านเครือข่ายร้านคาเฟ่ อเมซอน ที่มีอยู่กว่า 3,000 สาขา เข้ามาผนึกกับ แฟลช เอ็กซ์เพรส เปิดจุดให้บริการรับส่งพัสดุ ภายใต้ชื่อ Flash Express Drop Off ส่งง่าย ส่งไว ทั่วไทย ที่ Cafe Amazon” เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าในร้านคาเฟ่ อเมซอน รวมถึงผู้ที่มาใช้บริการสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ต้องการส่งพัสดุด่วน โดยเริ่มนำร่องที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน 71 สาขาทั่วประเทศ ถือเป็นการตอกย้ำแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของ โออาร์ ที่ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมระหว่างผู้แทนจำหน่าย คู่ค้า และคนในชุมชนสังคม เพื่อที่จะสร้างสรรค์สินค้า และบริการในรูปแบบที่ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด  เปิดเผยว่า ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ ได้ต่อยอดมาจากการประกาศร่วมทุนระหว่าง แฟลช เอ็กซ์เพรส และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์   โดยเบื้องต้นจะเริ่มเปิดให้บริการจำนวน 71 สาขาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจะเร่งขยายสาขาเพิ่มเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด E-commerce และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มีทางเลือกในการจัดส่งพัสดุเพิ่มมากขึ้น โดยลูกค้าที่สนใจใช้บริการสามารถเข้าไปดูรายละเอียดของสาขา Cafe Amazon ที่เปิดให้บริการรับส่งพัสดุแฟลช เอ็กซ์เพรส ได้ที่ https://www.img.in.th/image/QW5CtB หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1436

การที่คาเฟ่ อเมซอน ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่มีสาขาครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีในการขยายเป็นจุดรับส่งพัสดุของ แฟลช เอ็กซ์เพรส แม้ว่าเริ่มแรก แฟลชเน้นนโยบายการเข้ารับพัสดุฟรีถึงที่ แต่ปัจจุบัน อัตราการเติบโตของ E-commerce ได้ส่งผลให้ผู้บริโภค และพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มีความต้องการในภาคขนส่งมากยิ่งขึ้นในทุกที่และทุกเวลา บริษัทจึงเห็นโอกาสที่จะเพิ่มช่องทางการรับส่งพัสดุให้แก่ลูกค้า โดยเริ่มต้นค่าบริการขนส่งเพียง 35 บาท

สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าที่ คาเฟ่ อเมซอนระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2564 รับสิทธิพิเศษ ต่อที่ 1คูปองส่งพัสดุฟรี มูลค่า 35 บาทเพื่อใช้แทนเงินสด ในการใช้บริการส่งพัสดุกับ Flash Express Drop Off ที่ ร้านคาเฟ่อเมซอนที่ร่วมรายการ จำนวนทั้งสิ้น 2,000 สิทธิ์ พร้อมรับฟรีอุปกรณ์ในการแพ็ค ยกเว้นกล่องพัสดุ ต่อที่ 2 รับฟรีกล่องพัสดุ ไซส์ S ลิมิเต็ดอิดิชัน 1 กล่อง มูลค่า 25 บาท ต่อการส่งพัสดุ 1 ใบเสร็จ (จำนวนจำกัด) ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 พ.ย. 

AIS ก้าวสู่ปีที่ 32 ใช้ 5G เป็นสปริงบอร์ดพาชาติผ่านวิกฤต

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 31 ปี AIS ได้มีส่วนสร้างการเปลี่ยนแปลงและติดอาวุธดิจิทัลให้กับประเทศ ด้วยเม็ดเงินกว่า 500,000 ล้านบาทในการพัฒนา Digital Infrastructure และอีกกว่า 200,000 ล้านบาทสำหรับค่าใบอนุญาต รวมไปถึงการสร้างบุคลากรด้านดิจิทัล ทั้งในส่วนของพนักงานเอไอเอสเอง และผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ และยังได้ร่วมปลดล็อคการเข้าถึงดิจิทัลแพลตฟอร์มด้วยเทคโนโลยี 5G ที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมประเทศชั้นนำของโลก โดยถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในฐานะตัวแทนประเทศ ที่ทำให้ไทยมีชื่อปักหมุดอยู่ในกลุ่มผู้นำเทคโนโลยีชั้นแนวหน้า ผ่านการจัดอันดับจากหน่วยงานชั้นนำ เช่น Ookla Speed Test ที่จัดอันดับให้ AIS 5G เร็วที่สุดในประเทศไทย

ในปี 2025 ประเมินว่ามูลค่าของตลาด 5G ในไทย จะเติบโตสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยตลาดหลักทีมีศักยภาพและเจริญเติบโตมี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มการใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในบ้านที่อยู่อาศัยผ่านอุปกรณ์ FWA (Fixed Wireless Access) กลุ่มการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน Mobile และกลุ่ม B2B ภาคอุตสาหกรรมเป็นสัดส่วนก้อนใหญ่ โดยเน้นไปในกลุ่มธุรกิจการผลิต, การค้าปลีก, การขนส่งและการกระจายสินค้า โดยศักยภาพของ 5G ในไทยสามารถตอบโจทย์ได้ในทุกกลุ่ม จากการทำงานอย่างหนักของ AIS ในช่วงปีที่ผ่านมา จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการขับเคลื่อนประเทศอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ 5G ส่งผลกระทบโดยตรงกับภาพใหญ่ของโลกในยุค New Normal ใน 3  ประเด็นหลัก คือ

Anywhere Operations เพราะสถานการณ์จากโควิด ได้บีบบังคับให้เกิดพฤติกรรมการทำงานที่บ้าน (WFH) เรียนที่บ้าน (LFH) หรือทำงานได้จากทุกที่ ทุกเวลา อย่างทันทีทันใด ความท้าทายจึงอยู่ที่ความเร็วในการปรับตัวและสร้างรูปแบบการบริหารจัดการองค์กร รวมไปถึงการพัฒนา “คน” ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความแข็งแกร่งของประเทศ

Internet of Behavior (IoB) หลังจากที่ IoT หรือ อุปกรณ์ทุกสิ่งถูกเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ต สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เสมือนเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการเชื่อมต่อเหล่านั้น เพื่อให้เข้าใจและสามารถ Personalize บริการต่างๆให้ได้ถึงระดับ Nano Segment

Space that blurred the physical and virtual เมื่อผู้คนต่างใช้ชีวิตทุกด้าน ทั้งเรียน ทำงาน ช็อปปิ้ง รับชมความบันเทิง ผ่านหน้าจอบนโลกออนไลน์ จึงทำให้เทคโนโลยี Virtual Reality หรือ Augmented Reality หรือ แม้แต่ Metaverse ที่เป็นเทรนด์ล่าสุดได้ก้าวเข้ามาสร้างโลกเสมือนจริง ที่มอบประสบการณ์รูปแบบใหม่ในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ที่สามารถเชื่อมต่อ มีปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งความจริง อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งเชื่อว่าจะกลายเป็นวิถีปกติใหม่ในท้ายที่สุด

ผลกระทบดังกล่าวจะกระตุ้นให้ทุกคนต้องปรับตัว เปลี่ยนวิธีคิด ในทุกเรื่องอย่างเร่งด่วน ดังนั้น AIS จึงมุ่งมั่นกับ 3 เป้าหมายหลักเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนสู่อนาคต คือ 1. เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้าอย่างสูงสุดเสมอจากธุรกิจไร้สาย  2. ต่อยอดกลไกแห่งการเติบโตผ่านธุรกิจเน็ตบ้านและบริการลูกค้าองค์กร และ3. ลงทุนในธุรกิจดิจิทัลเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต ห

นอกจากนี้ ยังได้กระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมจากฝีมือคนไทย เช่น การเปิดหน่วยงานใหม่ที่ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์พัฒนา Metaverse Human คนแรกของไทย  ด้วยฝีมือคนไทย ที่จะมาเป็น Brand Ambassador หนึ่งใน  AIS Family คนใหม่ ในชื่อ น้อง ไอ-ไอรีน  พร้อมกับการออกแบบ Business Model ของการตลาดที่โลกยุค Metaverse นั้น KOL จะสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆในธุรกิจได้อย่างมหาศาลและทำให้ไทยพร้อมแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างเต็มที่

นายสมชัย กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า ประเทศไทย จะเป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมดิจิทัลและเติบโต และพร้อมจะแข่งขันในเวทีโลก ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาคประชาชน, รัฐ และเอกชน

เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ส่งความห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม แจ้งข้อมูลพื้นที่ได้รับผลกระทบ

นายวราวุธ นาถประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัด ในภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง จากอิทธิพลของร่องมรสุมและพายุโซนร้อน “เตี้ยนหมู่” ส่งผลกระทบในวงกว้าง และมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก KEX ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความห่วงใย และให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัยทุกคน พร้อมเคียงข้างคนไทยให้ฝ่าวิกฤตดังกล่าวไปด้วยกัน

ทางด้านบริษัทเอง ได้เตรียมแผนงานล่วงหน้าเพื่อรองรับสำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น และมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าการจัดส่งพัสดุกับเคอรี่ เอ็กซ์เพรส จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์น้ำท่วมดังกล่าว ส่งผลให้บางพื้นที่ได้รับผลกระทบในการจัดส่งพัสดุ ซึ่งอาจใช้เวลาในการจัดส่งมากกว่าปกติ บริษัทจึงขอแจ้งพื้นที่รหัสไปรษณีย์ปลายทางที่ได้รับผลกระทบ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2564 โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลอัปเดตรายวัน เพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3kFLQVd

AIS 5G เปิดให้สั่งซื้อไอโฟน 13 ทุกรุ่น ล่วงหน้าได้แล้ว

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า ลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPhone 13 ทุกรุ่นล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 และวางจำหน่ายในวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ดูรายละเอียดเกี่ยวกับราคาและการวางจำหน่ายที่ https://www.ais.th/apple/iphone-13-pro/

iPhone 13 ทุกรุ่นพร้อมมอบประสบการณ์ 5G สุดล้ำด้วยการรองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้น จึงสามารถใช้งาน 5G ได้หลายที่มากขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น และมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น  iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max โดดเด่นด้วยจอภาพ Super Retina XDR แบบใหม่หมดพร้อม ProMotion ที่มีอัตราการดึงข้อมูลใหม่สูงสุดที่ 120Hz จึงให้ประสบการณ์ในการสัมผัสที่เร็วขึ้นและตอบสนองฉับไวยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งทั้งสองรุ่นมีให้เลือกในสีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลูใหม่ นอกจากนี้ในรุ่น iPhone 13 Pro Max ยังมีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ทำให้สามารถใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro Max ถึง 2.5 ชั่วโมง พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุใหม่สูงถึง 1TB และยังอุ่นใจด้วยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ ส่วนระบบกล้องระดับโปร ซึ่งประกอบด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ ไวด์ และเทเลโฟโต้ ก็ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอที่โดดเด่นสวยงามโดยมีชิป A15 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple เป็นขุมพลัง เทคโนโลยีนี้ยังทำให้เกิดความสามารถในการถ่ายภาพแบบใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น อย่างการถ่ายภาพมาโครด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ใหม่ และประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดีขึ้นสูงสุด 2.2 เท่าบนกล้องไวด์ใหม่ รวมถึงคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์อย่าง “สไตล์ภาพถ่าย” ที่ให้คุณปรับแต่งสไตล์ภาพในแอปกล้องอย่างที่ต้องการ และโหมดกลางคืนที่ใช้งานได้กับกล้องทุกตัว ส่วนวิดีโอก็ล้ำหน้าแบบก้าวกระโดดโดยมี “โหมดภาพยนตร์” ที่เปลี่ยนระยะชัดลึกได้อย่างสวยงาม รวมทั้งการถ่ายวิดีโอแบบมาโครทั้งไทม์แลปส์และสโลว์โมชั่น และประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้น และทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมเวิร์กโฟล์ในแบบ Dolby Visionตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังรองรับ ProRes เป็นครั้งแรก ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น

iPhone 13 และ iPhone 13 mini เจเนอเรชั่นใหม่มาพร้อมดีไซน์อันงดงามพร้อมด้วยขอบแบนที่เรียบหรูดูดีใน 5 สีสันที่โดดเด่นสะดุดตา ได้แก่ สีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED2 โดยที่ทั้งสองรุ่นมาพร้อมนวัตกรรมอันน่าทึ่ง อย่างระบบกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ซึ่งมาพร้อมกล้องไวด์ที่มีพิกเซลขนาดใหญ่ขึ้น และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์เพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยทีดียิ่งขึ้นอีกทั้งยังมี “สไตล์ภาพถ่าย” ซึ่งเป็นวิธีใหม่สำหรับปรับแต่งกล้องให้ถูกใจในแบบที่ต้องการ และ”โหมดภาพยนตร์” ซึ่งจะเปิดมิติใหม่ให้กับการเล่าเรื่อง ยิ่งกว่านั้น iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมาพร้อมชิป A15 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple เพื่อประสิทธิภาพที่แรงสุดขั้วและประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น, จอภาพ Super Retina XDR ที่สว่างยิ่งขึ้นเพื่อคอนเทนต์ที่มีชีวิตชีวา, ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่ทนทานเหลือเชื่อ, พื้่นที่จัดเก็บข้อมูลในรุ่นเริ่มต้นเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 128GB, ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม           

ซีพีเอฟ ชูเทคโนโลยีผลิตไข่สด สะอาด ปลอดภัย

นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านธุรกิจไก่ไข่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยถึงมาตรฐานการผลิตไข่ไก่ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยของซีพีเอฟว่า ไข่ไก่สดซีพี มาจากไก่ไข่สายพันธุ์คุณภาพเยี่ยมที่มีสุขภาพแข็งแรงตามธรรมชาติ มีภูมิต้านทาน และให้ผลผลิตสูง ผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่ได้มาตรฐานในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลี้ยงในฟาร์มระบบปิด ตามแนวทาง Biosecurity Hi-Tech Farming ที่มีการควบคุมน้ำ อาหาร และอากาศ เพื่อให้ไก่ทุกตัวปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อผ่านอาหารและอากาศภายนอก มีระบบคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมระบบปรับอากาศ ระบบเก็บและลำเลียงไข่ไก่ออกจากโรงเรือนอัตโนมัติ เพื่อป้องกันเชื้อโรคปนเปื้อน ปลอดฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ

สมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ

ไข่ไก่สดซีพี ใส่ใจในรายละเอียดคุณภาพของความสดใหม่ที่สามารถตรวจวัดได้ รวมถึงขั้นตอนของการผลิต ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยไข่ทุกฟองที่เข้าสู่โรงงานคัดไข่เป็นไข่ไก่สดคุณภาพจากฟาร์มที่ปลอดภัย และได้มาตรฐานของซีพีเอฟ มีการควคุมอุณหภูมิตั้งแต่รับไข่เข้า ตลอดจนส่งออกจากโรงคัด และมีมาตรฐานตรวจสอบความสดโดยใช้เครื่อง Fresh egg freshness test ที่สามารถบอกค่าความสดใหม่ของไข่ โดยเริ่มจากการชั่งน้ำหนักการวัดความหนาของเปลือก รวมถึงวัดคุณภาพของไข่แดงไข่ขาวซึ่งค่าความสดจะถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระบบ และเมื่อผ่านเกณฑ์ทั้งหมด ก็จะนำเข้าสู่ขั้นตอนการโหลดไข่ไก่ด้วยเครื่อง Auto Loader เพื่อนำไข่ไก่ทุกฟองเข้าสู่ขั้นตอนการทำความสะอาดด้วยน้ำอุณหภูมิ 40-50 องศาเซลเซียสเพื่อรักษาคุณภาพของไข่ไก่ และไม่ใช้น้ำวน มีการตรวจสอบรอยบุบ คราบสกปรก ตรวจสอบรอยร้าวโดยใช้ระบบเสียง ตลอดจนฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ระหว่างลำเลียงจะมีการใช้เลเซอร์สแกนสิ่งปกติที่เกิดขึ้นภายในไข่ เช่น จุดเลือด จุดเนื้อ หรือความผิดปกติอื่นๆ เช่น ไข่แดงแตก ไข่ที่เสื่อมสภาพ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีรายแรกของเมืองไทย

นอกจากนี้ บนเปลือกไข่ไก่ทุกฟองจะมีการระบุวันผลิตและวันหมดอายุ และแหล่งที่มาของไข่อย่างชัดเจนด้วยเครื่อง Inkjet รวมทั้งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต หลังจากนั้น ไข่ไก่สดจะถูกนำไปบรรจุด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ ไม่สัมผัสมือคน พร้อมส่งมอบความสดใหม่ ปลอดภัย และครบคุณค่าทางโภชนาการให้กับคนไทยครบถ้วนทุกมื้อ

“ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตไข่ไก่ ทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของไข่ได้ทันที เมื่อผนวกวิธีการเก็บรักษาภายใต้การควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสม เช่น การเก็บรักษาในตู้เย็นก็จะช่วยยืดอายุไข่ได้อีกทางหนึ่ง มาตรฐานการผลิตเหล่านี้ ทำให้ ไข่ไก่สดซีพี ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากผู้บริโภคตลอดมา”

โออาร์ คว้ารางวัล บริษัทที่โดดเด่นด้าน IPO ที่สุด โดย ASIAMONEY

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ตอกย้ำความภูมิใจและความสำเร็จระดับเอเชีย โดยสามารถคว้ารางวัล บริษัทที่มีความโดดเด่นที่สุดด้าน IPO ในประเทศไทย (Most Outstanding IPO in Thailand) จากการคัดเลือกจาก Asia’s Outstanding Companies Poll 2021 จัดโดยนิตยสาร Asiamoney ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำด้านการเงินและการลงทุนระดับภูมิภาค

โดยเป็นผลจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักการธนาคาร และตัวแทนจากกลุ่มสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (RATINGS AGENCIES) รวมกว่า 1,000 ราย ร่วมลงคะแนนโหวตให้การยอมรับบริษัทจดทะเบียนที่โดดเด่นที่สุดในเอเชียของแต่ละประเทศ

และยังผ่านหลักเกณฑ์พิจารณาจากการดำเนินธุรกิจและภาพลักษณ์โดยรวมของบริษัทในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านผลประกอบการ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลและทีมผู้บริหาร ด้านความน่าเชื่อถือจากกลุ่มนักลงทุน ด้านการสร้างสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมร่วมกับกลุ่มนักลงทุน และด้านกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม การรับรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการยอมรับจากนักลงทุนในระดับเอเชีย และถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในความสำเร็จของ โออาร์ ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพร้อมก้าวต่อไปเป็นแบรนด์ไทยชั้นนำระดับโลกที่สร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างยั่งยืนต่อไป

OR เปิดจุดจอดรถโมบายสโตรคยูนิต ในพีทีที สเตชั่น เพิ่มโอกาสรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ดร. สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิดหน่วยรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันเคลื่อนที่ และการลงนามความร่วมมือระหว่าง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ โดยมี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และนางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมลงนาม

นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า โออาร์ ตระหนักถึงความจำเป็น ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว จึงพร้อมที่จะร่วมสนับสนุนโครงการโมบายสโตรคยูนิต ร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เพื่อให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันเข้าถึงการรักษาตามมาตรฐานได้อย่างทันท่วงที เพิ่มโอกาสในการรักษาและลดอัตราการตายหรือพิการของผู้ป่วย โดยการให้พื้นที่และสาธารณูปโภคที่จำเป็นภายในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก ซึ่งอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ครอบคลุมพื้นที่เขตคันนายาว เขตมีนบุรี เขตคลองสามวา เขตหนองจอก และเขตลาดกระบัง ให้เป็นจุดจอดรถโมบายสโตรคยูนิต รวมทั้ง รถ EMS หรือ รถกู้ชีพฉุกเฉิน สำหรับรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันจากที่พักเพื่อมารับการรักษาเบื้องต้นและส่งต่อไปยังโรงพยาบาล ถือเป็นโอกาสในการใช้ศักยภาพและทรัพยากรที่ โออาร์ มีอยู่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มความสามารถให้กับโครงการโมบายสโตรคยูนิต ให้สามารถรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนการนำโรงพยาบาลเข้าสู่ชุมชน สร้างความอุ่นใจให้กับสังคม ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนในการดำเนินธุรกิจของ พีทีที สเตชั่น ที่มุ่งสร้างคุณค่าให้กับชุมชน และพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางที่จะร่วมเติมเต็มทุกความสุข และเติบโตไปพร้อมกับทุกชุมชน (Living Community) อีกทั้งยังเป็นไปตามแนวทางในการทำธุรกิจของ โออาร์ ที่ให้ความสำคัญกับการเกื้อกูลสังคมเพื่อสร้างความเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

นายแพทย์สมศักดิ์ เปิดเผยว่าโรคหลอดเลือกสมองเฉียบพลันเป็นปัญหาสุขภาวะที่สำคัญของประเทศไทยและของโลก ซึ่งหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว อาจก่อให้เกิดความพิการถาวร ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยและครอบครัว ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันด้วยวิธีการที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและความพิการได้ดีขึ้นมาก แต่ยังพบปัญหาผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล ต้องใช้เวลาเดินทางนานทำให้มาถึงโรงพยาบาลไม่ทันเวลา กรมการแพทย์จึงได้สนับสนุนการจัดระบบบริการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเคลื่อนที่โดยจัดสรรงบประมาณจัดซื้อรถรักษาโรคหลอดเลือดสมองเคลื่อนที่หรือโมบาลสโตรคยูนิต (Mobile stroke unit) เพื่อให้เป็นไปตามการขับเคลื่อนแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) เพื่อประโยชน์การขยายบริการการรักษาให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

นายแพทย์สมบูรณ์ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม รับผิดชอบประชากรในพื้นที่ตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันมารับบริการปีละ 800-1,000 รายและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี การเปิดหน่วยรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันเคลื่อนนี้ ถือเป็นการขยายบริการเพื่อเพิ่มการเข้าถึงการให้ยาสลายลิ่มเลือดได้ทันท่วงที รวมทั้งการส่งตัวผู้ป่วยเพื่อการรักษาต่อที่ซับซ้อนขึ้น โดยไม่เป็นการเสียเวลาและโอกาสของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยลดความพิการและอัตราการเสียชีวิต อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยที่มารับบริการที่ห้องฉุกเฉินอีกด้วย โดยปัจจุบันโรงพยาบาลนพรัตนราชธานีเป็นหนึ่งในสามสถาบันการแพทย์ที่เปิดให้บริการรถโมบายสโตรคยูนิต

ทั้งนี้ โมบายสโตรคยูนิต  (Mobile Stroke Unit) เป็นหน่วยบริการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันเคลื่อนที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน โดยให้การดูแลรักษาตามมาตรฐาน สามารถทำเอกซเรย์สมองได้ทันทีภายในรถ ให้ยาสลายลิ่มเลือด (Thrombolytic drug) เพื่อเปิดเส้นเลือดโดยการดูแลของแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ มีการประสานงานผ่านระบบรักษาทางไกล (Telemedicine) ร่วมกับแพทย์เฉพาะทางโรคสมอง รวมทั้งสามารถตรวจเอกซเรย์เส้นเลือดสมองเพื่อพิจารณาการรักษาเพิ่มเติมได้โดยเร็วอีกด้วย โดยแนวทางการให้บริการ  คือเมื่อผู้ป่วยที่อยู่ในเขตพื้นที่บริการมีอาการสงสัยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน เช่น อ่อนแรงแขนขาครึ่งซีก  ปากหรือใบหน้าเบี้ยว พูดไม่ชัด โดยมีอาการเฉียบพลันทันทีภายใน 4 ชั่วโมง สามารถโทรแจ้งขอรับบริการได้ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน “1669” ศูนย์กู้ชีพจะประสานงานหน่วยเฉพาะกิจรักษาโรคหลอดเลือดสมองเคลื่อนที่  โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และโมบายสโตรคยูนิตจะออกปฏิบัติการรับผู้ป่วยต่อจากรถฉุกเฉินกู้ชีพเพื่อการรักษาอย่างรวดเร็ว ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ใกล้จุดเกิดเหตุของผู้ป่วยมากที่สุด เพื่อลดระยะเวลาการเดินทาง ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกล และลดโอกาสเกิดความพิการและการสูญเสียชีวิต

ปรับเพิ่มระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา หลังปริมาณน้ำเหนือยังเพิ่ม

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบัน (28 ก.ย.64) ที่สถานีวัดน้ำ C.2 จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,521 ลบ.ม./วินาที ต่ำกว่าตลิ่ง 1.88 เมตร แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ก่อนไหลไปรวมกับน้ำที่มาจากแม่น้ำสะแกกรัง และไหลลงสู่เขื่อนเจ้าพระยาตามลำดับ กรมชลประทาน ได้รับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง รวม 306 ลบ.ม./วินาที และปรับการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตรา 2,631 ลบ.ม./วินาที จะส่งผลกระทบต่อบริเวณที่อยู่อาศัยริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่นอกคั้นกันน้ำ เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ บ้านท่าทราย และตำบลโพนางดำ อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท, วัดเสือข้าม วัดสิงห์ ตำบลอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี อำเภอพรหมบุรี และอำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี, คลองโผงเผง วัดไชโย ตำบลเทวราช อำเภอไชโย และอำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง, คลองบางบาล ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ (แม่น้ำน้อย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หากระดับน้ำทางตอนบนเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น กรมชลประทานจะแจ้งให้ทราบต่อไป

ประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำ เพื่อพร่องน้ำและบริหารพื้นที่ลุ่มต่ำให้เป็นแก้มลิงหน่วงน้ำและเร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อรองรับน้ำจากพื้นที่ตอนบนที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด จึงขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์น้ำในระยะนี้อย่างใกล้ชิด หากต้องการความช่วยเหลือติดต่อได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือโทร.สายด่วนกรมชลประทาน 1460 ได้ตลอดเวลา

AIS เปิดตัวบริการ เสียงแจ้งโทรออกเบอร์ข้ามเครือข่าย

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ได้ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดตัวการให้บริการ เสียงแจ้งการโทรออกไปหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างเครือข่าย เป็นการร่วมกันยกระดับคุณภาพ และมาตรฐาน การให้บริการเพิ่มไปอีกขั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ การใช้งานของประชาชน โดยการให้บริการนี้จะมีสัญญาณเรียกออกสั้นๆ “Beep” ก่อนเข้าสู่สัญญาณเรียกสาย หรือ เสียงรอสายตามปกติ  เมื่อลูกค้าเอไอเอส โทรออกไปหาเลขหมายปลายทางที่เป็นของผู้ให้บริการรายอื่น

ทั้งนี้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ กสทช. ที่มีวัตถุประสงค์ และเป้าหมายหลักในการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่าย เพิ่มศักยภาพ รูปแบบบริการการสื่อสาร อำนวยความสะดวก และมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย รวมถึงสื่อสารให้ผู้ใช้บริการ ได้รับทราบข้อมูลระหว่างการใช้งานตลอดเวลา ปัจจุบันรูปแบบโปรโมชั่นการใช้งานมีความหลากหลายซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค จึงมีทั้งการให้บริการอัตราเท่ากันระหว่างในเครือข่าย On Net และ นอกเครือข่ายOff Net  และ โปรโมชั่นที่มีอัตราต่างกันระหว่าง ในเครือข่าย On net และนอกเครือข่าย Off Net ดังนั้นการแจ้งให้ทราบว่า ขณะนั้นผู้ใช้บริการกำลังโทรไปยังเครือข่ายเดียวกัน หรือ ต่างเครือข่าย จึงเท่ากับเป็นการยกระดับคุณภาพบริการให้สะดวกและพึงพอใจมากยิ่งขึ้น โดยวันนี้ เอไอเอส เป็นรายแรกที่ร่วมเปิดตัวบริการนี้ซึ่งก็เชื่อว่า จะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ และอุ่นใจในระหว่างการใช้งาน

“โดยบริการนี้เราพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของการใช้บริการโทรคมนาคมของคนไทย ช่วยให้ลูกค้ารู้ตัวทุกครั้งที่มีการโทรข้ามเครือข่าย เพื่อจะได้คำนวณช่วงเวลาการโทรได้อย่างสอดคล้องกับโปรโมชั่นที่เลือกใช้ โดยบริการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ไม่ต้องสมัครใช้บริการ และไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม” นายปรัธนา กล่าวในตอนท้าย