Home Blog Page 361

CPF เห็นคุณค่าผู้พิการ สนับสนุนจ้างงานสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้พิการในสังคม ส่งเสริมให้พึ่งพาตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำ เดินหน้าจ้างผู้พิการช่วยเหลืองานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนให้ภูมิใจในคุณค่าของตัวเอง มีรายได้เลี้ยงตัวเองและสามารถดูแลครอบครัวได้

ซีพีเอฟ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทฯมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหารและลดความเหลื่อมล้ำ สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) อาทิ การดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่บริษัทฯดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2532 เห็นผลสัมฤทธิ์ทั้งในด้านการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้บริโภคไข่ไก่อย่างเพียงพอ แก้ปัญหาทุพโภชนาการ ขณะ
เดียวกัน ซีพีเอฟสนับสนุนการจ้างงานผู้พิการในชุมชนเพื่อช่วยทำงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ ฯ ภายใต้โครงการจ้างงานคนพิการด้วย

โดยตั้งแต่ปี 2560 บริษัทฯ ได้จัดจ้างผู้พิการช่วยงานในโรงเรียนที่ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน จนถึงปัจจุบัน มีการทำสัญญาจ้างงานคนพิการไปแล้วรวม 427 คน เพื่อช่วยงานใน 252 โรงเรียนทั่วประเทศ

ร.ต.อ.กำจัด ผาใต้ ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนค็อกนิสไทย ตำบลแมดนาท่ม อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร กล่าวว่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนค็อกนิสไทย เป็นโรงเรียนในสังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 สกลนคร มีจำนวนนักเรียน 260 คน แต่มีบุคลากรครูเพียง 13 คน ไม่มีนักการช่วยงานบริการทั่วไปของโรงเรียน ซึ่งมีพื้นที่ที่ต้องดูแลถึง 85 ไร่ โรงเรียนได้รับความช่วยเหลือจากซีพีเอฟจ้างผู้พิการ จำนวน 3 คน เพื่อช่วยงานทั่วไป มาอย่างต่อเนื่องทุกปี เป็นเวลา 3 ปีแล้ว โดย 2 คนเป็นผู้พิการเนื่องจากได้รับผลกระทบทางสมองจากอุบัติเหตุ และอีก 1 คนนิ้วขาด โรงเรียนมอบหมายให้แต่ละคนรับผิดชอบงาน เช่น ช่วยดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน งานด้านปศุสัตว์ งานด้านการเกษตรและปลูกผัก รดน้ำต้นไม้ แบ่งเบาภาระงานของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี และเป็นการช่วยเหลือผู้พิการในชุมชนมีรายได้จุนเจือตัวเองและครอบครัวได้ในระยะยาว

นายบรรจรงค์ วรเศรษฐสุขศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแสนสุข ตำบลคลองน้ำใส อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า โรงเรียนบ้านแสนสุขมีจำนวนนักเรียน 178 คน ข้าราชการครู 10 คน ครูอัตราจ้าง 2 คน และเจ้าหน้าที่ซีพีเอฟที่ช่วยงานในโรงเรียน 1 คนได้รับมอบหมายให้ช่วยดูแลงานด้านเกษตรของโรงเรียน อาทิ โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ดูแลสวนหย่อม ภูมิทัศน์ และดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยในโรงเรียน เป็นการช่วยเหลือผู้พิการในชุมชนให้มีงานทำใกล้บ้านและมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว

“จากที่เคยสอบถามถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้พิการ บอกว่าโรงเรียนบ้านแสนสุข เหมือนให้ชีวิตใหม่ เนื่องจากหลังจากประสบอุบัติเหตุ ก็ถูกมองว่าทำงานไม่ได้ ไม่คุ้มกับค่าแรงที่จะจ้าง แต่จากการที่เค้าได้มาช่วยงานที่โรงเรียน ทำให้มีรายได้ประจำทุกเดือนสามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้” ผอ.โรงเรียนบ้านแสนสุข กล่าว

ด้านนายแดนชัย แก้วโกมล อายุ 45 ปี ช่วยงานที่โรงเรียนบ้านแสนสุข 2 ปีแล้ว เล่าว่า ก่อนหน้านี้ทำงานในโรงงานพลาสติกและเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องจักรทำให้มือขาดไป 1 ข้าง ต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน 10 ปี ในขณะนั้นก็ทำงานรับจ้างทั่วไป เช่น หักข้าวโพด จนมาได้ทำงานกับโรงเรียน รู้สึกดีใจมาก อยู่ที่นี่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนให้ช่วยงานตามกำลัง เหนื่อยก็พัก เช่น ช่วยเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ไข่ ดูแลความสะอาดของโรงเรือนเลี้ยงไก่ ช่วยดูแลแปลงปลูกผักสวนครัว ทำให้มีรายได้ช่วยจุนเจือครอบครัว ให้พ่อและแม่เดือนละ 1,000-2,000 บาท สภาพความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่ต้องไปรับจ้าง เพราะตอนนี้มีรายได้ประจำทุกเดือน พ่อและแม่ก็ดีใจที่มีงานประจำทำ ตัวผมเองก็ภูมิใจและรู้สึกขอบคุณซีพีเอฟที่ให้โอกาสได้เป็นพนักงานของบริษัท ผมว่าผมมีโอกาสที่ดีมาก

นายประสงค์ สิทธิวงค์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านดู่(สหราษฎร์พัฒนาคาร) ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการจ้างงานคนพิการของซีพีเอฟ เป็นโครงการที่ดีมาก โรงเรียนได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทฯ จ้างงานผู้พิการในชุมชน ซึ่งพิการหูหนวกแต่กำเนิด มาช่วยงานในโรงเรียน ทำหน้าที่เก็บผลผลิตไข่ไก่ในโครงการเลี้ยงไก่ไข่ ฯ ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนเลี้ยงไก่ไข่ไว้ 300 ตัว นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ผู้พิการทำหน้าที่ให้อาหารไก่ รดน้ำต้นไม้ นำเศษอาหารจากโรงอาหารมาเลี้ยงสุกร ช่วย
แบ่งเบาภาระของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ส่งเสริมให้ผู้พิการในชุมชนได้ทำงานใกล้บ้าน มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ซีพีเอฟ ร่วมกับ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 30 ปี โดยในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ซีพีเอฟเตรียมส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ให้แก่โรงเรียนบ้านเมืองเก่า”ศรีอินทราทิตย์” อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นโรงเรียนลำดับที่ 857 ของโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน พร้อมกันนี้ ซีพีเอฟเตรียมมอบสัญญาจ้างงานผู้พิการช่วยงานของโรงเรียนดังกล่าวด้วย

คาดเงินสะพัดช่วงปีใหม่ 3 หมื่นล้านบาท จากโครงการคนละครึ่ง/ช้อปดีมีคืน

0

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 พบว่า คนกรุงเทพฯ กว่า 42.5% ของผู้ตอบแบบสำรวจเลือกฉลองปีใหม่ในกทม. เพราะต้องการหลีกเลี่ยงสภาพการจราจรติดขัด ขณะที่บางส่วนตัดสินใจออกเดินทางตั้งแต่ช่วงวันหยุดยาวต้นเดือนธันวาคม

ด้านการจับจ่ายใช้สอย คนส่วนใหญ่ยังมีแผนทำกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และพบว่า หากไม่มีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐโดยค่าใช้จ่ายรวมในช่วงปีใหม่ 2564 (ปลายเดือนธันวาคม 2563 ถึงต้นเดือนมกราคม 2564) จะเฉลี่ยอยู่ที่ 5,300 บาทต่อคน เนื่องจากยังมีความกังวลต่อผลกระทบของโควิด-19 ในต่างประเทศที่อาจลากยาวไปอีก ประกอบกับปัจจัยกดดันด้านหนี้ครัวเรือน และสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง กดดันบรรยากาศการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ ทำให้คาดว่า ค่าใช้จ่ายรวมต่อคนในช่วงเทศกาลใหม่ 2564 ของคนกรุงเทพฯ จะปรับเพิ่มขึ้น

ผลของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกปี 2564 น่าจะเป็นแรงหนุนกำลังซื้อในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้บางส่วน ได้แก่

1. โครงการช้อปดีมีคืน เพื่อให้ผู้เสียภาษีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำยอดใช้จ่ายสินค้าและบริการตามที่กำหนด สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปหักลดหย่อนได้

2. โครงการ คนละครึ่ง ซึ่งรัฐจะช่วยจ่าย 50% ของยอดใช้จ่ายกับร้านค้าที่ลงทะเบียนร่วมโครงการ มูลค่าไม่เกิน 150 บาทต่อวัน วงเงินรวมตลอดระยะเวลาโครงการไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ครบโควตาในเฟสแรก พร้อมทั้งเตรียมดำเนินการในเฟส 2 ที่จะเริ่มให้ใช้สิทธิ์ในวันที่ 1 มกราคม 2564 ขยายวงเงิน 3,500 บาทต่อคน และเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ในเฟสแรกอีก 500 บาทต่อคน

คาดว่า เม็ดเงินการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 รวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,050 ล้านบาท ทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เป็นผลจากแรงหนุนที่ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและเพิ่มกำลังซื้อช่วงปีใหม่ได้บางส่วน

แต่ในอีกด้านหนึ่งสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่เผชิญแรงกดดันด้านกำลังซื้อ และต้องการได้รับสิทธิประโยชน์เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย สอดคล้องไปกับผลการสำรวจการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในช่วงปีใหม่ 2564 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่า ส่วนใหญ่ปรับลดงบประมาณ สำหรับการฉลองปีใหม่ลงจากปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะได้ทยอยใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ ในช่วงแคมเปญลดราคาอย่าง 11.11 12.12 และใช้สิทธิ์การท่องเที่ยวผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันไปแล้ว

และ คนกทม. ทุกกลุ่มรายได้ ปรับลดงบประมาณสำหรับเทศกาลปีใหม่ 2564 แต่ยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการช่วยหนุนการใช้จ่าย โดยแบ่งเป็นมูลค่าการใช้จ่ายรายประเภทกิจกรรม ดังนี้

  • การเลี้ยงสังสรรค์ ค่าอาหารเครื่องดื่ม มากที่สุด 10,500 ล้านบาท
  • ช้อปปิ้ง ซื้อสินค้าส่วนตัว ของขวัญ 8,400 ล้านบาท
  • เดินทางในประเทศ ค่าเดินทาง ที่พัก 7,250 ล้านบาท
  • ค่าบริการ กิจกรรมสันทนาการ 1,850 ล้านบาท
  • ทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ 1,400 ล้านบาท
  • และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ให้เงิน บัตรของขวัญ อยู่ที่ 650 ล้านบาท

มูลค่าการใช้จ่ายรายกิจกรรมส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ยกเว้นค่าใช้จ่ายสำหรับเลี้ยงสังสรรค์ ค่าอาหารเครื่องดื่ม และค่าใช้จ่ายสำหรับช้อปปิ้ง ซื้อสินค้าส่วนตัว ของขวัญ ที่ประเมินว่า น่าจะขยายตัวที่ 7.1% และ 7.7% ตามลำดับ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศของภาครัฐ ทำให้ผู้บริโภคเลือกจับจ่ายใช้สอยโดยใช้สิทธิ์ผ่านโครงการ

ผลการสำรวจในภาพรวม ยังสะท้อนว่า คนกรุงเทพฯ ในทุกกลุ่มรายได้ มีความระมัดระวังในการใช้จ่าย หากไม่มีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย คนส่วนใหญ่ปรับลดหรือคงจำนวนเงินค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการทำกิจกรรมและซื้อสินค้าช่วงปีใหม่ 2564 เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดี มากกว่า 20% ของกลุ่มผู้มีรายได้ 75,001 บาทต่อเดือนขึ้นไป มีแผนเพิ่มการใช้จ่ายเมื่อเทียบกับปีก่อน

คนกรุงเทพฯ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงสังสรรค์และช้อปปิ้งซื้อสินค้าที่เม็ดเงินมากที่สุด 2 ลำดับแรก

เมื่อพิจารณารูปแบบการเลี้ยงสังสรรค์ ใช้จ่ายสำหรับค่าอาหารเครื่องดื่ม พบว่า คนกรุงเทพฯ มากกว่า 41% ของผู้ตอบแบบสำรวจ มีการปรับรูปแบบการเลี้ยงสังสรรค์จากการไปรับประทานที่ร้านอาหาร หันไปซื้ออาหารและเครื่องดื่มมาปรุงรับประทานเอง เนื่องจากราคาถูกกว่าการไปรับประทานที่ร้านอาหาร สามารถรับประทานได้หลายคนทั้งครอบครัว อีกทั้งต้องการหลีกเลี่ยงการไปในพื้นที่ชุมชนที่อาจมีคนหนาแน่นกว่าปกติในช่วงเทศกาล

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจอาจมีการปรับลดงบการจัดเลี้ยงประจำปีลงให้สอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ขณะที่ แม้การเลือกสั่งซื้ออาหารสำหรับเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ผ่าน Food Delivery จะยังมีสัดส่วนการใช้จ่ายน้อยที่สุด แต่คาดว่าน่าจะมีสัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับการปรับตัวของทั้งผู้บริโภคและร้านอาหารที่คุ้นเคยกับการสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น ประกอบกับความสะดวกสบายในการชำระเงินได้หลายรูปแบบ ทั้งการชำระด้วยเงินสด บัตรเครดิต และ e-Wallet เป็นต้น นอกจากนี้ แต่ละแอปพลิเคชันยังมีโปรโมชั่นส่วนลดค่าอาหาร ค่าส่ง และสินค้าพิเศษเฉพาะ ซึ่งจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการ

ซีพีเอฟ จับมือม.แม่โจ้ ทำ MOU สนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ปีกเชิงธุรกิจที่ได้มาตรฐาน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือทางวิชาการ ด้านสัตว์ปีกและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีก ระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กับ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) โดยมีรศ.ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นผู้แทนในการลงนาม

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ก็เพื่อพัฒนาการศึกษา งานวิจัย และงานวิชาการ ด้านการเลี้ยงไก่กระทงครบวงจร และเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพต่ออาชีพการเลี้ยงสัตว์ปีกและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกของประเทศไทย ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่

โดยจัดทำขึ้นเพื่อร่วมสนับสนุนการศึกษา การวิจัย งานวิชาการ การเลี้ยงสัตว์ปีกเชิงธุรกิจที่ได้มาตรฐานร่วมกัน เช่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการเลี้ยงไก่กระทง การเลี้ยงไก่ไข่ครบวงจร โดยการใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีร่วมกัน อีกทั้งความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรของทั้งสองฝ่าย รวมถึงการมีสถานที่เข้าฝึกงานของนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ ตลอดจนการเก็บรวบรวมข้อมูลทางด้านปศุสัตว์เพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอนและงานบริการวิชาการ นอกจากนั้น การเลี้ยงสัตว์ปีกเชิงธุรกิจที่ได้มาตรฐานยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรอีกด้วย

16 ธ.ค. คนกรุงได้นั่งรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสายสีทอง

0

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ผู้ว่าฯ อัศวิน” มีเนื้อหาว่า 16 ธ.ค.นี้ 16 ธ.ค.นี้ พร้อมเดินรถไฟฟ้า 2 เส้นทางสายสีเขียว และสายสีทอง ขยายโครงข่ายการเดินทางสาธารณะไกลขึ้น พร้อมลดปัญหาฝุ่นและมลพิษในอนาคต

โครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยายสายสีเขียว (เหนือ) หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต  เตรียมให้บริการต่อเนื่องทั้งระบบ เพิ่มเติมจากสถานีวัดพระศรีมหาธาตุไปอีก 7 สถานี ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้แล้วครับได้แก่ สถานีพหลโยธิน 59 สถานีสายหยุด สถานีสะพานใหม่ สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ สถานีแยกคปอ. และสถานีคูคต ซึ่งจะทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเดินทางต่อเนื่องเชื่อม 3 จังหวัด คือ สมุทรปราการ กรุงเทพฯ และปทุมธานี รวมระยะทางประมาณ 68 กิโลเมตร ได้สะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น บรรเทาปัญหาการจราจร ทั้งยังลดปัญหาฝุ่นและมลพิษทางอากาศอีกด้วย

พร้อมกันนี้ กทม.ยังจะเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีทอง ระยะที่ 1 จำนวน 3 สถานี ตามแนวถนนเจริญนคร ไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ สถานีกรุงธนบุรี  สถานีเจริญนคร และสถานีคลองสาน เชื่อมฝั่งธนบุรีไปยังฝั่งพระนคร ที่จุดเชื่อมต่อสายสีเขียวและสายสีทองที่สถานีกรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง โดยได้รับเกียรติจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะมาเป็นประธานเปิดเดินรถทั้ง 2 เส้นทางในช่วงเช้า และจะเปิดให้บริการประชาชน เวลา 13.00 น. ในวันเดียวกันต่อไปครับ

ปตท. เปิดรับสมัครงานวุฒิปวส. ปริญญาตรี 1,000 อัตรา

0

รายงานข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. เปิดเผยว่า ปตท. เดินหน้าโครงการ “Restart Thailand” ปตท. รวมพลัง สร้างรอยยิ้ม ให้คนไทย เปิดรับสมัครงานนิสิตและนักศึกษา ทั้งวุฒิการศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และปริญญาตรี รวมทั้งหมดกว่า 1,000 อัตรา เป็นระยะเวลา 12 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ผ่านโครงการพัฒนาสังคม 3 ด้าน ทั้งส่งเสริมการศึกษาเยาวชน การพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เสริมการดูแลสังคมสู้ภัยโควิด-19 ให้ชุมชนยิ้มได้ ผ่านการสนับสนุนช่องทางการขายสินค้าชุมชนทางสื่อออนไลน์ 

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. พร้อมเคียงข้างคนไทยให้เดินหน้าต่อไปด้วยกัน ตำแหน่งงานเหล่านี้ ปตท. ได้จ้างผ่านบริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด (BSA) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ ปตท. ผู้สนใจ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02-140-3152

สิงห์อาสา เปิดโครงการ SEA SAND STRONG รักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ 12 สถาบันการศึกษาภาคใต้และภาคตะวันออก จัดโครงการ SEA SAND STRONG (ซี แซนด์ สตรอง) เพื่อรณรงค์ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยเฉพาะชายหาดของประเทศไทย ครอบคลุมชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด โดยเริ่มที่บริเวณหาดสนหนาและหาดยาว อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล การจัดการขยะ และช่วยเหลือคนในพื้นที่ ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากกระแสน้ำและกระแสลมพัดขยะไปเกยตื้นตามชายหาด

โครงการนี้เกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเลหลายเรื่อง อาทิ มลพิษจากเรือ การทิ้งของเสียจากชุมชน อุตสาหกรรมและเกษตรกรรม การทิ้งขยะในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาขยะล้นเมืองไหลลงสู่ทะเล ถูกกระแสน้ำและกระแสลมพัดไปขึ้นฝั่งตามชายหาดต่างๆ จากรายงานของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยติดอันดับ 10 ของประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก และโครงการยังมุ่งเน้นให้กลุ่มนักศึกษาเครือข่ายสิงห์อาสา รวมทั้งเยาวชน และคนในพื้นที่เป็นกำลังสำคัญในการร่วมกันดูแลรักษาชายหาด

สำหรับ 12 สถาบันการศึกษาภาคใต้ เครือข่าย “สิงห์อาสา” ได้แก่ ม.สงขลานครินทร์ จำนวน 4 วิทยาเขตคือ ภูเก็ต ตรัง หาดใหญ่ และสุราษฎร์ธานี, ม.ราชภัฏภูเก็ต, ม.หาดใหญ่, ม.ราชภัฏสงขลา, ม.ทักษิณ, ม.ราชภัฏนครศรีธรรมราช, ม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานี, ม.เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตสงขลา และวิทยาเขตนครศรีธรรมราช ได้ร่วมมือกับ คุณสิรณัฐ สก๊อต นักอนุรักษ์ทางทะเล ผู้ก่อตั้งกลุ่ม SEA YOU STRONG นำนักเรียนจาก 13 โรงเรียนในพื้นที่ตำบลตลิ่งชัน และตำบลเกาะศรีบอยา อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่ ช่วยกันเก็บขยะที่บริเวณหาดสนหนาและหาดยาว อำเภอเหนือคลอง เป็นการตัดวงจรขยะที่เป็นมลพิษต่อสภาพแวดล้อมในทะเล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติกที่ใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะย่อยสลาย เช่น ถุง ขวด ภาชนะใส่อาหาร วัสดุที่ใช้ในการบรรจุหีบห่อ และเครื่องมือประมง ฯลฯ ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยขยะที่ได้จะนำไปคัดแยก และรีไซเคิลเป็นวัสดุเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ ยังเตรียมขยายสู่ภาคตะวันออกต่อไปที่ผ่านมา สิงห์อาสา จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด

โครงการซี แซนด์ สตรอง จะมีการจัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการตระหนักรู้ให้แก่ชุมชนของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ ครอบคลุมจังหวัดชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด ให้เห็นความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม ช่วยกันลดปริมาณขยะ และรณรงค์ให้มีการรีไซเคิลอย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ยังคาดหวังให้เป็นการดูแลสัตว์น้ำและระบบนิเวศน์ในทะเล การนำขยะที่เก็บได้ไปจัดการให้ถูกวิธี หันมาเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ สิงห์อาสา ยังได้มีแนวคิดที่จะจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการรณรงค์ อนุรักษ์ และดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในด้านอื่นๆ ด้วย เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ สิงห์อาสา ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องก้าวสู่ปีที่ 10 ในการมุ่งมั่นช่วยเหลือสังคม พัฒนาพื้นที่ ดูแลสิ่งแวดล้อม และสร้างประโยชน์คืนสู่สังคม

ทิพยประกันภัย จับมือ ซิสโก้ เปิดตัวแผนประกันภัยไซเบอร์การ์ดพลัส

0

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ร่วมกับบริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด นำเสนอแผนประกันภัยไซเบอร์การ์ดพลัส “TIP Cyber Guard Plus Powered by Cisco” เจาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางเพื่อปกป้องและคุ้มครองความเสี่ยงหรือความเสียหายที่เกิดจากการโจมตี
หรือตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรรมทางไซเบอร์

ทั้งนี้ จากสถิติของศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) พบว่าภัยคุกคามไซเบอร์ ปี 2563 ในช่วง 6 เดือนแรกพบภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบต่างๆรวม 1,474 ครั้ง อันดับ 1 คือการโจมตีด้วยโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ หรือมัลแวร์ (Malicious Code) คิดเป็น 36% ส่วนการโจมตีในรูปแบบความพยายามเจาะเข้าระบบ (Intrusion Attempts) อยู่ที่ 72 ครั้ง คิดเป็น 4.9%. จากแนวโน้มภัยคุกคามไซเบอร์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ จึงให้ความสำคัญในด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มากขึ้น

ไซเบอร์การ์ดพลัส “TIP Cyber Guard Plus Powered by Cisco” เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่ทิพยประกันภัยร่วมกับซิสโก้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์องค์กรธุรกิจขนาดกลางที่
กำลังมองหาความคุ้มครองจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยจากซิสโก้ช่วยตรวจเช็ค ประเมินความเสี่ยง และแนะนำให้ความรู้ก่อนการเลือกแผนประกันภัยไซเบอร์ที่เหมาะสมกับองค์กรของท่าน โดยยึดหลักการประเมินความเสียหายสูงสุดที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อสะท้อนค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสมและคุ้มครองความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับธุรกิจของท่าน อาทิการสูญเสียรายได้จากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนชุดคำสั่งอุปกรณ์ที่ถูกทำลายจากภัยไซเบอร์ที่ปกติไม่ครอบคลุมในกรมธรรม์ประเภทอื่น โดยความคุ้มครองของประกันภัยไซเบอร์จะคุ้มครองภัยดังต่อไปนี้

  • ความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจอันเนื่องมาจากระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายล่มหรือถูกโจมตี
  • ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูลที่ได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์
  • ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการรับแจ้งเหตุความเสียหายและการสืบสวน พร้อมด้วยสายด่วนรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชม. ทุกวันไม่มีวันหยุด
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาการเสียชื่อเสียงและการสื่อสารในภาวะวิกฤต
  • ค่าจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิคในการจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
  • ความรับผิดอันเกิดจากความล้มเหลวในการรักษาข้อมูลที่เป็นความลับและจากการใช้งานเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
  • การถูกขู่กรรโชกที่เกี่ยวกับระบบหรือข้อมูล/การถูกข่มขู่ว่าจะถูกเปิดเผยความลับ การแบล็คเมลความรับผิดต่อเนื้อหาทางสื่อออนไลน์

“การร่วมมือกับซิสโก้ครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือที่สำคัญขององค์กรที่มีความแข็งแกร่งในแต่ละด้าน เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจว่าเรามีความพร้อมโดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ระดับโลกอย่างซิสโก้ มาเป็นพาร์ทเนอร์ช่วยดูแลและตรวจสอบความพร้อมขององค์กรรวมถึงการให้บริการที่ปรึกษาทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ในมาตรฐานระดับสากล ขณะที่แนวโน้มของภัยทางด้านไซเบอร์มีมากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการประกันเพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยเราหวังว่าประกันภัยไซเบอร์การ์ดพลัส ของทิพยประกันภัยจะให้บริการที่คลอบคลุมและตอบโจทย์สิ่งที่องค์กรธุรกิจขนาดกลางต้องการ” ดร.สมพร กล่าวเสริม

ด้าน นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน รักษาการกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า การร่วมมือของซิสโก้กับทิพยประกันภัยครั้งนี้ถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ และเป็นอีกก้าวสำคัญเพื่อสร้างความมั่นใจให้องค์กรและธุรกิจไทยในกรณีที่เกิดความเสียหายจากภัยไซเบอร์ ยิ่งเทคโนโลยีมีความซับซ้อนมากขึ้น ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อภัยคุกคาม ซิสโก้สนับสนุนให้องค์กรต่างๆ ควรเตรียมพร้อมรับมือด้วยแผนประกันภัยทางไซเบอร์ และหวังว่าความรู้และความเชี่ยวชาญของทีมงานไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของเราจะช่วยปกป้ององค์กรธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นแผนประกันภัยไซเบอร์ด้วยความเสี่ยงที่น้อยที่สุด

คนใช้รถเฮ โออาร์ประกาศไม่ขึ้นราคาน้ำมัน เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

0
จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โออาร์ จัดแคมเปญ “โออาร์สร้าง ความ สุข” มอบของขวัญให้แก่ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ โดย สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดตลอด 9 วันในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 (ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 63 – 3 ม.ค. 64) แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกผู้เดินทาง ทั้งเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนา

นอกจากนี้ เมื่อเติมน้ำมันในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 – 1 มกราคม 2564 ครบ 500 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าไทยเด็ด 1 ชิ้น ส่งต่อรอยยิ้มจากชุมชนให้ผู้ใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เป็นของขวัญปีใหม่อีกด้วย

สำหรับผู้ใช้บริการที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน เมื่อซื้อเครื่องดื่มหรือสินค้าคาเฟ่ อเมซอน ชนิดใดก็ได้ ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 20 สาขาบนเส้นทางสายหลักขาออกจากกรุงเทพมหานครที่ร่วมรายการ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 รับฟรีทันทีกาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน (รสออริจินัล) 1 ซอง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสาขาที่ร่วมรายการได้ที่ เฟสบุ๊คแฟนเพจ :  Café Amazon

ด้านศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ ได้จัดโปรโมชั่น “FIT สุดเฟี้ยวเที่ยวไปด้วยกัน” รับสิทธิพิเศษมากมาย ซื้อน้ำมันหล่อลื่นและยางราคาพิเศษ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2564

แคมเปญ “โออาร์ สร้าง ความ สุข” นอกจากจะเป็นการมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้บริโภค ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ร้านค้าในเครือโออาร์ ยังมีบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคทั้งก่อนเดินทางและระหว่างเดินทาง โดยผู้บริโภคสามารถเข้าใช้บริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ที่ศูนย์บริการยานยนต์ฟิต ออโต้ ก่อนเดินทาง และสามารถแวะพักผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าระหว่างการเดินทางได้ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น และร้านคาเฟ่ อเมซอนทุกสาขาที่พร้อมให้บริการตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่

นักลงทุนมั่นใจถือหุ้น SO ราคาหุ้นปรับขึ้น เตรียมจ่ายปันผล

0
จิรณุ กุลชนะรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามราชธานี (SO)

นายจิรณุ กุลชนะรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามราชธานี (SO)  เปิดเผยว่า เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เปิดเผยรายงานผลการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(ไอพีโอ) ของ SO  ระหว่างวันที่ 3 ถึง 7 ตุลาคม 2563 จำนวน 85 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 6.50 บาท โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และรับประกันการจัดจำหน่วย  พบรายชื่อบุคคลผู้ที่ได้รับการจัดสรรหุ้น 20 อันดับแรก เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน และนักวางแผนการเงินซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารผู้จัดการกองทุนมืออันดับต้นๆ ของประเทศ ที่น่าสนใจ โดยผู้ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นอันดับ 1 คือ นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ได้รับการจัดสรรจำนวน 2.5 ล้านหุ้น เป็นเงิน16.25 ล้านบาท หรือ 2.94% , อันดับ 2 นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล  หรือ “เสี่ยปู่” นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น ได้รับการจัดสรรหุ้น 2 ล้านหุ้น เป็นเงิน 13.03 ล้านบาท หรือ 2.36%   

อันดับ 3 คือ นายจิรณุ กุลชนะรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ได้รับการจัดสรรหุ้น 2 ล้านหุ้น หรือ 2.35% และยังปรากฎรายชื่อผู้บริหารจดทะเบียน (บจ.) ที่ได้ซื้อหุ้น IPO ของ SO     เช่น น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ได้รับการจัดสรรอันดับ 8 จำนวน 1 ล้านหุ้น หรือ 1.18% เท่ากับ นายโยธิน ธาราหิรัญโชติ ที่ได้รับการจัดสรร 1 ล้านหุ้น หรือ 1.18% อันดับ 16 นายสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ได้รับการจัดสรร 400,00 หุ้น  เท่ากับ นายวิโรจน์ พรประกฤต ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.ยูบิลลี่  เอ็นเตอร์ไพรส์ (JUBILE) ที่ได้รับจัดสรร 400,000 หุ้น เช่นกัน

นอกจากนี้ยังพบรายชื่อนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นนักลงทุนที่ลงทุนถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นติดอันดับต้นๆ หลายบริษัท คือ นางจารุณี ชินวงศ์วรกุล ที่ได้รับการจัดสรร 600,000 หุ้น และน.ส.นลินี  แจ่มวุฒิปรีชา ได้รับการจัดสรรหุ้น 300,000 หุ้น   

สำหรับรายชื่อนักลงทุนสถาบันที่น่าสนใจ เช่น กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มเซ็ท 50 จองซื้อจำนวน 3.52 ล้านหุ้น บริษัท ทิพยประกันภัย ได้รับการจัดสรร 2.3 ล้านหุ้น นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล  โดย บลจ.แอสเซท พลัส ได้รับการจัดสรร  1.1 ล้านหุ้น กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรทหุ้นระยะยาว ได้รับการจัดสรร 810,000 หุ้น กองทุนเปิดหุ้นคุณค่าเพื่อการเลี้ยงชีพ ได้รับการจัดสรร  598,000 หุ้น และ น.ส.ธิดา แก้วบุตตา ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) โดย บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ได้รับการจัดสรร 186,000 หุ้น เป็นต้น

นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นไอพีโอของ SO ที่ราคาจองซื้อ 6.50 บาท และยังถือหุ้นอยู่จนถึงล่าสุดวันที่ 9 ธ.ค.2563 จะได้รับกำไรจากการลงทุนแล้วมากกว่า 50% ล่าสุดราคาหุ้น SO ขึ้นมาอยู่ที่ระดับมากกว่า 10 บาท  และในวันที่ 9 ธ.ค.2563 เงินปันผลจากผลดำเนินงานงวดระหว่างกาล จะโอนเข้าบัญชีผู้ถือหุ้นหลังบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.16บาท หรือจ่ายในอัตรา 80% ของกำไรสุทธิ สูงกว่านโยบายที่ให้ไว้ว่าจะจ่าย ไม่น้อยกว่า 50%

“รายชื่อผู้จองซื้อหุ้นไอพีโอของบริษัท ที่ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน “บิ๊กเนม” ที่เป็นที่รู้จัก ในแวดวงตลาดหุ้นนั้น เชื่อว่าเพราะบุคคลเหล่านี้มีความมั่นใจในธุรกิจของบริษัท ที่มีการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานและมีความมั่นคง ขณะที่ยังเดินหน้าหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร เพื่อช่วยให้การทำธุรกิจของลูกค้าง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและลดภาระองค์กร ” 

นายจิรณุ กล่าวว่า ภายหลังเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ทั้งจากลูกค้าเดิมที่ใช้บริการกับบริษัทมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ รวมทั้งการเพิ่มหรือขยายบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า จากการพัฒนาบริการในการบริหารงานบุคลากร โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมทั้งการหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจหลักของบริษัท

และ มั่นใจว่าแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2563 จะเติบโตได้ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่รายได้และกำไรสุทธิเติบโตสวนวิกฤติโควิด- 19 และเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากบริษัทมีบริการด้านเทคโนโลยีควบคู่ไปกับบุคลากร จึงสามารถหางานใหม่ๆ เข้ามาได้มากขึ้น ทั้งลูกค้าเดิมที่จ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งสัดส่วนการต่อสัญญาของลูกค้าเดิมยังสูงกว่า 90% และลูกค้ารายใหม่ รวมทั้งการขยายบริการใหม่ๆ ต่อยอดธุรกิจเดิมของบริษัทให้เติบโตมากขึ้น               

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน (2)

0

มาว่ากันต่อเรื่อง “สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน” เครื่องมือและเคล็ดลับในการบริหารจัดการเรื่องเงินๆทองๆ เพื่อสร้างความสุขทางการเงินให้กับตนเองและครอบครัว

ตอนที่แล้ว เราเปิดหัวสำรับที่ 1 ไปแล้วคือ เคล็ดลับ 4 รู้ สู่ความมั่งคั่งคือ รู้หา-รู้เก็บ-รู้ใช้-รู้ขยายดอกผล วันนี้เราเปิด สำรับที่ 2 คือเครื่องมือจัดการเงิน ที่จะทำให้ชีวิตสบายไม่มีจน ลงมือง่ายๆ เพียงใช้ “เครื่องมือจัดการเงิน” ที่จะช่วยแก้ปัญหาการเงินได้ถูกจุด และหาวิธีเพิ่มความรวยได้ถูกทาง

สำรับที่ 2 นั่นคือ รู้จักทำงบดุล–ทำบัญชีรับจ่าย–จัดทำงบประมาณครอบครัว

เพราะงบดุลจะบอกได้ว่า เรามี “ความมั่งคั่ง” แค่ไหน!! ความมั่งคั่งคือ เงินที่เหลือหลังจากที่นำทรัพย์สินลบด้วยหนี้สินทั้งหมดที่เรามีอยู่ทั้งหมด ก็จะรู้ว่าชีวิตเรามีฐานะ “รวย” หรือ “จน” ยิ่งเรามีเงินหรือทรัพย์สินสุทธิมากเท่าใด โอกาสที่จะนำเงินไปต่อยอดลงทุนสร้างความมั่งคั่งก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

ต่อมาคือ ต้อง “ทำบัญชีรายรับรายจ่าย” โดยจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายประจำวัน เพื่อให้รู้พฤติกรรมการเงินการใช้จ่ายของเราว่า ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายแค่ไหน หากเงินขาดมือ หรือมีไม่พอใช้ในแต่ละเดือน ก็ต้อง “หั่นรายจ่าย-เพิ่มรายได้”

เริ่มจาก “หั่นรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง” เช่น เสื้อผ้า ของฟุ่มเฟือย การเที่ยวเตร่ ดูหนังฟังเพลง หรือการทานอาหารนอกบ้าน ส่วนรายจ่ายจำเป็น อย่างค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ตัดไม่ได้ก็ต้องประหยัดหรือลดการใช้ลงและจ่ายบิลให้ตรงเวลาเพื่อไม่ให้โดนค่าปรับจ่ายล่าช้า ส่วนบ้านเช่า-หอพักก็ลองพิจารณาดูว่าจะขยับขยายหาค่าเช่าที่ถูกกว่า หรือหาที่พักใกล้ที่ทำงานเพื่อช่วยประหยัดค่าเดินทาง เป็นต้น

ฝั่ง “เพิ่มรายได้” ก็หางานพิเศษทำนอกเวลางาน หรือทำโอที ขายของออนไลน์ เริ่มจากนำของที่ซื้อมาแล้วไม่ใช้ไม่จำเป็นในบ้านออกขายก่อนเลย อาจขายให้เพื่อนร่วมงาน คนใกล้ชิดที่เขาต้องการหรือมีความจำเป็นมากกว่า หลังจากนั้นก็ตั้งกลุ่มแก๊งเพื่อนทำเพจเฟซบุ๊ก เปิดไอจี หรือโพสต์ขายในออนไลน์ก็ได้

สุดท้ายก็คือ “การจัดทำงบประมาณครอบครัว” โดยประเมินรายรับที่จะได้ในอนาคต และจัดทำงบประมาณรายจ่าย แบ่งเป็น “เงินออมและเงินลงทุน” เพื่อเป้าหมายต่างๆ ก่อน จากนั้นแบ่งเงินที่เหลือเป็นส่วนๆ จัดสรรว่า “จะใช้จ่ายอะไร ไม่เกินกี่บาท”

โดยต้องมีวินัยใช้จ่ายตามงบที่ตั้งไว้ และจดบัญชีรับ-จ่าย ควบคู่กัน ถ้า “เงินขาด” จากการใช้เงินเกินตัว หรือมีเหตุฉุกเฉิน รีบลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และนําเงินออมที่มีอยู่มาชดเชยส่วนขาด ถ้า “ตั้งงบผิดพลาด” ควรปรับปรุงให้ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น!!

จบสำรับการเงินสำรับที่ 2 สัปดาห์หน้ามาเปิดสำรับการเงิน สำรับที่ 3 กันต่อ


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ