Home Blog Page 246

ซีพีเอฟ เปิดตัวโครงการ “Circular Meal…มื้อนี้เปลี่ยนโลก” สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ร่วมกับภาคีเครือข่ายองค์กรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จำกัด (มหาชน), บริษัทสยาม แม็คโคร จำกัด (มหาชน), บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด (ข้าวตราฉัตร) , มูลนิธิสโกลาร์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) , วิสาหกิจชุมชน ซับรวงไทร , Wastegetable และ GEPP Sa-Ard (เก็บ สะอาด) ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “Circular Meal…มื้อนี้เปลี่ยนโลก” ส่งมอบอาหารปลอดภัยให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนและด้อยโอกาส ลดการสูญเสียอาหารและจัดการอาหารส่วนเกิน พร้อมสร้างสรรค์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ตอกย้ำความมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้กับโครงการ “Circular Meal…มื้อนี้เปลี่ยนโลก” เน้นลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้หลักการ Reduce – Recharge – Reborn ประกอบด้วย Reduce เป็นการลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) และการเกิดขยะอาหาร (Food Waste) ReCharge ร่วมเติมพลังงานชีวิต แก่ผู้ที่ขาดแคลนให้สู้ต่อไป ด้วยมื้ออาหารปลอดภัย สด สะอาด จากกระบวนการจัดการอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) อย่างถูกหลักอนามัยและสู่การปรุงตามหลักโภชนาการที่เหมาะสม จนได้มื้ออาหารคุณภาพสำหรับทุกคน (Food Security for ALL) และ ReBorn คือ ร่วมสร้างชีวิตใหม่ ทั้งคนและผลิตภัณฑ์ ตลอดจนบรรจุภัณฑ์ เพื่อเติมความสมดุลแก่ระบบนิเวศตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมทั้งยกระดับสู่การเปลี่ยนแปลงในระบบอาหารที่ยั่งยืน (Food System Transformation) ตามเป้าหมาย Zero Food Waste to landfill ภายในปี 2030 สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ข้อที่ 2 คือ การขจัดความหิวโหย ข้อที่ 12 คือ การส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน และข้อที่ 17 คือ การสร้างความร่วมมือระดับสากลเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โครงการ “Circular Meal…มื้อนี้เปลี่ยนโลก” มีเป้าหมายส่งมอบอาหารจากการบริหาร Food Surplus เพื่อส่งเสริมโภชนาการที่ดีพร้อมกับกระบวนการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์อย่างมีความรับผิดชอบ (Take back system) ครบวงจร โดยตลอดปี 2564 จะนำร่องโครงการด้วยการส่งมอบอาหารทั้งหมด 10,000 ชุด ให้กับผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลนอาหารในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งกิจกรรมแรกที่เข้าสนับสนุน คือ โครงการ Education for the Deaf (EDeaf) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมความเท่าเทียมทางการศึกษาและสร้างทักษะในการประกอบอาชีพให้แก่ผู้พิการทางการได้ยิน ให้มีโอกาสทางการศึกษาและประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ในอนาคต โดยได้จัดกิจกรรมส่งมอบอาหารครั้งแรกในเดือนเมษายน ให้กับผู้พิการทางการได้ยิน จำนวน 400 ชุด พร้อมทั้งเตรียมประกาศความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายอย่างเป็นทางการ ในเดือนกรกฎาคม 2564 นี้

นายวุฒิชัย กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นการบริหารจัดการแบบองค์รวม ตั้งแต่ต้นทางวัตถุดิบจนถึงปลายทางผู้บริโภค โดยส่งเสริมให้ผู้ที่ได้รับอาหารและชุมชนมีส่วนร่วมในการเก็บบรรจุภัณฑ์อาหารทั้งหมด เพื่อนำไปส่งต่อให้บริษัทที่เกี่ยวข้อง นำไปรีไซเคิลและการสร้างประโยชน์ใหม่ (Upcycling) และที่สามารถย่อยสลายได้ อย่างเหมาะสมตามเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยหลังจากนี้ ภาคีเครือข่ายและพันธมิตรจะร่วมกันจัดกิจกรรมโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

เครือซีพี เดินหน้าสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนามต่อเนื่อง

เครือเจริญโภคภัณฑ์ปฏิบัติการเดินหน้าสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนามต่อเนื่องตามเจตนารมย์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือฯ ในการเตรียมงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลสนาม โดยเมื่อเร็วๆนี้  นายวิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) , ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน),  นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ,  นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานสื่อสารองค์กร บริษัท สยาม แม็คโคร จำกัด (มหาชน) และนางสาวรุจนาฏก์ วิมลสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ด้านบรรษัทสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ร่วมกันเป็นผู้แทนองค์กร มอบอาหารและน้ำดื่ม และอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสาร จากโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 เพื่อสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาล 4 แห่ง ในสังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ โดยมี พลอากาศโท ธนวิตต สกุลแสงประภา เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ เป็นผู้แทนรับมอบอาหาร น้ำดื่มและด้านการสื่อสาร ณ กรมแพทย์ทหารอากาศ เพื่อให้บริการเพื่อสังคมแก่ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนประมาณ 300 เตียงที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนาม กองทัพอากาศ 

นายวิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนเครือเจริญโภคภัณฑ์ จากโครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 กล่าวว่า เครือซีพีและบริษัทในเครือฯยินดีที่ได้รับใช้สังคมในโอกาสที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติโควิดระลอก 3 โดยจะส่งมอบอาหาร น้ำดื่ม เพื่อเป็นเสบียงให้กับโรงพยาบาลสนามตามความตั้งใจของท่านประธานอาวุโส เครือซีพี  ซึ่งในวันนี้เป็นการมอบเสบียงอาหารและการสื่อสารให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โรงพยาบาลจันทรุเบกษา โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (ดอนเมือง) ซึ่งต้องรับผิดชอบรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 เตียง โดยจะมอบอาหารและน้ำดื่มให้ 3 มื้อทุกวันในช่วงวิกฤติโควิด-19  ระลอกนี้

พลอากาศโท ธนวิตต กล่าวว่า ขอขอบคุณเครือซีพี ในการสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลทั้ง 4 แห่ง ถือเป็นขวัญกำลังใจแก่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยโควิด-19 ที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลสังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ ง ทั้งนี้ การสนับสนุนครั้งนี้ถือเป็นการแสดงน้ำใจและกำลังเสริมสำคัญในการช่วยประเทศไทยให้ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปได้

ก่อนหน้านี้โครงการซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19 ได้มอบอาหารน้ำดื่ม และด้านการสื่อสารแก่โรงพยาบาลสนาม-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และนอกจากโรงพยาบาลในกองทัพอากาศที่ได้เริ่มส่งมอบในวันนี้ จะทยอยเดินหน้าส่งมอบกำลังใจเพื่อแบ่งเบาภาระแก่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลสนามของ รพ.รามาธิบดี โรงพยาบาลสนามของ รพ.พระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลสนามของ รพ.ตำรวจ โรงพยาบาลสนามในสังกัดกองทัพเรือต่อไป

การบินไทย จับมือ ดี ไฮจีนิค มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิก รอยัล ออร์คิด พลัส

คุณนนท์ กลินทะ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับ บริษัท ดี ไฮจีนิค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านการดูแลทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคระบบแห้ง 100% มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก รอยัล ออร์คิด พลัส โดยสมาชิก สามารถติดต่อใช้บริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่นอน บริการ Fogging ควัน บริการปล่อย Ozone ฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย และ COVID-19 ในราคาลดพิเศษจากอัตราปกติ ตามเงื่อนไขที่กำหนด เพียงแสดงบัตรสมาชิก หรือ ดิจิทัลการ์ด ของ รอยัล ออร์คิด พลัส ในวันเข้ารับบริการ และนอกจากนี้ ยังสามารถใช้ไมล์สะสมจำนวน 10,000 ไมล์ แลกเป็นส่วนลดสูงถึง 50% ร่วมกับการชำระเงินสำหรับค่าบริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคกับทาง ดี ไฮจีนิค

สมาชิกที่สนใจสามารถใช้ไมล์สะสมแลกเป็น eVoucher สำหรับส่วนลดของค่าบริการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค โดยใช้หมายเลขสมาชิกและรหัสประจำตัว (PIN) เข้าสู่ระบบบัญชีสมาชิกบนเว็บไซต์ รอยัล ออร์คิด พลัส ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ธันวาคม 2564

คุณภาคิน สุดประเสริฐ  รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดี ไฮจีนิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าทาง ดี ไฮจินิค รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ รอยัล ออร์คิด พลัส โดยทาง ดี ไฮจินิค มีความตั้งใจที่จะดูแลกลุ่มลูกค้าของการบินไทยแบบพิเศษที่สุดเสมือนส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปให้ความรู้แก่กลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพหรือเป็นโรคภูมิแพ้ถึงที่บ้าน ด้วยมาตรฐานระดับสากลส่งตรงเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมันที่ปลอดภัยและไร้สารเคมีทุกขั้นตอน เนื่องจากในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขอนามัยและการปลอดเชื้อไวรัสมากขึ้น ดีไฮจีนิค เป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค เปิดในไทยมานานกว่า 12 ปี ดูแลและฟื้นฟูสุขอนามัยพร้อมทั้งกำจัดไรฝุ่น เชื้อไวรัสแบบครบวงจร ทาง ดี ไฮจินิค คิดว่าสามารถเสริมด้านสิทธิประโยชน์ ให้กับกลุ่มลูกค้า รอยัล ออร์คิด พลัส ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้

บริษัท การบินไทยฯ ยังคงมุ่งมั่นในการจัดหาสิทธิประโยชน์เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิกโปรแกรมสะสมไมล์ รอยัล ออร์คิด พลัส โดยได้ดำเนินการประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่าง ๆ เพื่อมอบสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าให้กับสมาชิกอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สมาชิกฯ สามารถตรวจสอบโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ thaiairways.com/rop หรือ ติดต่อ รอยัล ออร์คิด พลัส ได้ที่ THAI Contact Center โทร. 0-2356-1111 (วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.00-17.00 น. เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

รร.เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน สร้างความมั่นคงทางอาหาร คลังเสบียงหนุนชุมชน ฝ่าโควิด-19

สถานการณ์ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา จนถึงการระบาดระลอกล่าสุด ทำให้เกิดวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal พฤติกรรมการปรับตัวที่เห็นได้ชัดเจน คือ การหันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น และเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า “อาหาร” เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ก้าวข้ามวิกฤตไปได้ ดังนั้น การสร้างความมั่นคงทางอาหาร จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าในสถานการณ์ปกติหรือภาวะวิกฤต

เช่นเดียวกับ การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการส่งเสริมให้โรงเรียนและชุมชน สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนิน”โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 32 ภายใต้ความร่วมมือของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และภาคีเครือข่าย ซึ่งมีโรงเรียนที่เป็นสมาชิกของโครงการฯรวม 880 โรงเรียนจากพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ เรียกได้ว่าเป็น”คลังเสบียง” ที่สำคัญของชุมชนได้ ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด- 19

ตามมาดูการปรับตัวของโรงเรียนในโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ที่ต้องบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่ในช่วงปิดเทอม ซึ่งไม่สามารถส่งผลผลิตเข้าโครงการอาหารกลางวันได้ เพราะนักเรียนหยุดเรียน แต่ผลผลิตไข่ไก่และผลผลิตทางการเกษตรของโรงเรียน กลับเป็นแหล่งอาหารที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ชุมชนในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี

นายบรรจรงค์ วรเศรษฐสุขศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแสนสุข ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เล่าถึง การทำงานในช่วงปิดเทอมและอยู่ในช่วงที่มีแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่า โควิดทำให้ทุกคนไม่กล้าขยับไปไหน คนในชุมชนก็ไม่กล้าออกจากบ้าน โรงเรียนจึงทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง นำเสบียงไปจำหน่ายให้ชุมชนตามบ้าน ซึ่งโรงเรียนบ้านแสนสุข มีโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบทและซีพีเอฟ ปัจจุบันเลี้ยงไก่ 100 ตัว มีผลผลิตวันละ 90 ฟอง หรือ 3 แผง ผมก็จะรับหน้าที่ Delivery นำไข่ไก่ไปส่งให้ตามบ้าน ประมาณ 2 วัน /ครั้ง รวมทั้งผลผลิตพืชผักสวนครัวที่โรงเรียนปลูกไว้ ทั้งผักสด และผลผลิตที่นำมาแปรรูปเป็นอาหาร เช่น หน่อไม้ นำมาทำเป็นแกงเปรอะ เป็นต้น ถึงจะอยู่ในช่วงโควิด แต่ชุมชนได้บริโภคสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีนจากไข่ไก่ และสารอาหารจากผลผลิตทางการเกษตรของโรงเรียน ขณะที่โรงเรียนมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตไข่ไก่และวัตถุดิบที่เป็นผลผลิตอยู่ที่ 1,200-1,800 บาทต่อครั้งที่จำหน่าย

“ผลผลิตไข่ไก่จากโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ และผลผลิตผักสวนครัวของโรงเรียน มีประโยชน์อย่างมากในช่วงการระบาดของโควิด-19 เป็นคลังเสบียงให้ชุมชน สามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของคนในชุมชนได้ โดยมีโรงเรียนทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำอาหารไปจำหน่าย ” ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแสนสุขกล่าว

ด้านโรงเรียนบ้านเมืองกาญจน์ ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซี่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล1 – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีเด็กนักเรียน 400 คน ประกอบด้วยหลายชาติพันธุ์ ทั้งคนไทย ลาว พม่า ชาวเขาชาติพันธุ์ ม้ง มูเซอ ลั้ว ขมุ วันนี้ น้องๆนักเรียนไม่ได้มาโรงเรียนเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอม แต่ยังมีคุณครูที่รับผิดชอบดูแลจัดการผลผลิตไข่ไก่ จำหน่ายให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนและชุมชนที่มาซื้อไข่ไก่ถึงที่โรงเรียน

นายวายุวัฒน์ ชัยวรรณะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเมืองกาญจน์ เล่าว่า โรงเรียนบ้านเมืองกาญจน์ เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่มาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่โรงเรียนนำมาใช้ และยังสอดคล้องกับพันธกิจของโรงเรียน คือ ส่งเสริมให้นักเรียน คิดเป็น ทำได้ ขายเป็น เป็นการวางพื้นฐานในการฝึกอาชีพให้แก่เด็กๆ เพื่อนำไปใช้ต่อไปได้ โดยปัจจุบันเลี้ยงไก่เป็นรุ่นที่ 2 แล้ว จำนวน 300 ตัว ได้ผลผลิตไข่ไก่วันละ 9 แผง (แผงละ 30 ฟอง) ในช่วงปกติจะนำผลผลิตไข่ไก่ส่งเข้าโครงการอาหารกลางวันนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้บริโภคอาหารที่ทำจากไข่ไก่สัปดาห์ละ 3 วัน แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งตรงกับช่วงปิดเทอม ไม่สามารถส่งผลผลิตไข่ไก่เข้าโครงการอาหารกลางวันได้ มีการบริหารจัดการโดยจำหน่ายให้แก่คุณครูและชุมชนในราคาแผงละ 80 บาท โดยชุมชนเข้ามารับซื้อถึงที่โรงเรียน ส่วนในช่วงสถานการณ์ปกติเปิดเทอม ชุมชนจะเข้ามาซื้อไข่ไก่จากสหกรณ์ของโรงเรียน นอกจากนี้ นักเรียนและคณะครูนำผลผลิตไปจำหน่ายตามร้านอาหารในตัวอำเภอ

นอกจากยังมีโรงเรียนในโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันอีกหลายแห่ง ที่พร้อมเป็นคลังเสบียงให้ชุมชนในช่วงโควิดข19 นำผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายสู่ชุมชน ได้บริโภคไข่ไก่ที่สด สะอาด ราคาย่อมเยา

นายสรพงษ์ คำดี คุณครูที่รับผิดชอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โรงเรียนบ้านเมืองเก่าศรีอินทราทิตย์ ต.เมืองเก่า อ.เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เมื่อปี 2563 มีจำนวนไก่ที่เลี้ยงไว้ 200 ตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ เล่าว่า ถึงแม้ในช่วงปิดเทอม โรงเรียนจะไม่ได้ส่งผลผลิตไข่ไก่เข้าโครงการอาหารกลางวัน แต่ก็สามารถบริหารจัดการผลผลิตได้ทุกวัน โดยนำไปขายกับคุณครูในโรงเรียน หรือชุมชนที่เข้ามาขอซื้อไข่ไก่จากโรงเรียน เพราะราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยในช่วงที่เด็กๆ ซึ่งเป็นอาสาสมัครรับผิดชอบดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯอยู่ในช่วงปิดเทอม โรงเรียนมอบหมายหน้าที่ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้พิการที่ทางซีพีเอฟจ้างมาช่วยงานในโรงเรียน ช่วยทำหน้าที่เก็บไข่ไก่ ให้อาหารไก่ และทำความสะอาดโรงเรือน ซึ่งสามารถแบ่งเบาภาระของโรงเรียนได้มาก

ด้านนายประสงค์ สิทธิวงค์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านดู่(สหราษฎร์พัฒนาคาร) จังหวัดเชียงราย ดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน กล่าวว่า ช่วงที่เด็กๆปิดเทอม โรงเรียนมีการบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่ที่เก็บผลผลิตได้วันละ 7 แผง (แผงละ 30ฟอง) จากแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้กว่า 200 ตัว นำผลผลิตไปจำหน่ายให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนและคนในชุมชน โดยจะออกไปจำหน่ายให้ถึงที่บ้าน เพื่อำนวยความสะดวกในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ยังมีผู้ปกครองนักเรียนบางท่านที่ทำงานโรงงานในพื้นที่ มาช่วยรับไข่ไก่จากโรงเรียนไปช่วยขายให้เพื่อนๆพนักงานในโรงงาน ถือว่าการที่โรงเรียนมีส่วนร่วมในการผลิตอาหาร เช่น ผลผลิตไข่ไก่ สามารถเป็นแหล่งอาหารของชุมชนได้อีกทางหนึ่ง

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มีเป้าหมายหลักเพื่อบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการของเด็กนักเรียน โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและในถิ่นทุรกันดาร ขณะเดียวกัน โครงการนี้ช่วยวางฐานการสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนจากโรงเรียนสู่ชุมชน สามารถเป็นคลังเสบียงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระดับชุมชนได้ในภาวะวิกฤต

บุญรอดบริวเวอรี่ พร้อมส่งความช่วยเหลือ 70 รพ.สนาม-หลัก สู้ภัยโควิด

นาย จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงพร้อมที่จะให้สนับสนุนการทำงานของแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานหนักเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศต่อเนื่อง ทั้งในด้านการสนับสนุนคลังอาหาร อาทิ น้ำดื่ม อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป (ข้าวรีทอร์ท) รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นในกรณีเร่งด่วนอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
ซึ่งในปัจจุบัน กลุ่มบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ให้การสนับสนุนด้านอาหารอย่างเต็มพิกัดทั้งอาหารสด อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน (ข้าวรีทอร์ท) น้ำดื่ม ให้กับกว่า 70 โรงพยาบาลหลักและรพ.สนามทั่วประเทศ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ เครื่องตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด Fingertip Pulse Oximeter ฯลฯ เพื่อช่วยในการติดตามอาการให้กับศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” รพ.ราชวิถี และกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนรวมทั้งกำลังพลและครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ตามที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ของประเทศไทย ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 64 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันและสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีผู้ป่วยติดเชื้อรายวันกว่าหนึ่งพันคนต่อวัน ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมได้พุ่งขึ้นถึงกว่า 6 หมื่นคน และยอดผู้เสียชีวิตมากขึ้นในแต่ละวัน

“กลุ่มบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด พร้อมที่จะให้การสนับสนุนการทำงานของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อย่างเต็มที่ ในการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามที่รับผู้ป่วย ซึ่งได้สนับสนุนไปแล้วกว่า 70 แห่ง โดยกลุ่มบริษัทฯได้ช่วยเหลือผ่านเครือข่ายสิงห์อาสาที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงใช้โรงงานหลักของบริษัทฯ ที่อยู่ในหลายจังหวัดเป็นตัวหลักในการส่งมอบความช่วยเหลือในแต่จะจังหวัดแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศไทย” จุตินันท์ กล่าว

ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้สนับสนุนการทำงานของบุคลากรการแพทย์มาโดยตลอดด้วยความห่วงใย อาทิ มอบเงินสนับสนุนด้านการทำงานแก่บุคลากรการแพทย์แก่โรงพยาบาลหลัก 26 แห่ง 50 ล้านบาทเพื่อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ช่วยเหลือการดูแลรักษาผู้ป่วยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้กับบุคลากรทางการแพทย์ อีกทั้งยังสนับสนุนอาหารและน้ำดื่มให้กับโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกระจายความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ ได้แก่ โครงการสิงห์อาสาจ้างงาน สร้างรายได้ ให้ชาวบ้านในท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตน และโครงการสิงห์อาสา สร้างงานสร้างอาชีพ เปิดอบรม 3 กลุ่มทักษะ ได้แก่ กลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร ต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก, กลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านงานช่าง และกลุ่มทักษะทางด้านวิสาหกิจชุมชน รวมเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งยังคงดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน

สิงห์ฯ ใช้โรงงาน ทำแปลงเกษตรไร้สารเคมี ผลิตอาหารส่งรพ.หนุนทีมแพทย์สู้โควิด

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ 2 บริษัทในเครือ คือ บริษัท สิงห์ เบเวอเรช จํากัด อ.บางเลน จ.นครปฐม และ บริษัท มหาสารคาม เบเวอเรช จำกัด ได้เปลี่ยนพื้นที่ในโรงงานเป็นแปลงเกษตร ปลูกผักและผลไม้ปลอดภัยไร้สารเคมี พร้อมนำมาปรุงอาหาร เพื่อส่งมอบเป็นกำลังใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงอาสาสมัคร ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อยภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยากลำบากมากยิ่งขึ้นทุกวัน นอกจากนี้ สิงห์อาสา ยังส่งมอบน้ำดื่มสิงห์ อาหารแช่แข็ง และอาหารพร้อมรับประทาน (ข้าวรีทอร์ท) ให้แก่โรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนาม เพิ่มอีก 8 แห่ง ใน 3 จังหวัดใหญ่ ได้แก่ รพ.สนามอาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพฯ, รพ.กรุตรัง, รพ.มหาสารคาม, วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม, รพ.สุทธาเวช จังหวัดมหาสารคาม, รพ.สนามกองทัพอากาศ (โรงเรียนการบิน), รพ.สนามโรงแรมแกรนด์วิว อ.บางเลน และ รพ.ลาดบัวหลวง จ.นครปฐม

นาย สุชิน  อิงคะประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ เบเวอเรช จํากัด เผยว่า โรงงานมีพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตร เป็นสมาร์ทฟาร์มใช้เทคโนโลยีในการควบคุมการเพาะปลูก เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพ พืชผลที่ได้นำไปช่วยเหลือจุนเจือชุมชนรอบๆโรงงาน แต่ในครั้งนี้ บริษัทได้นำผลผลิตมาเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร รวมถึงมีผลไม้อย่างเมล่อน ส่งมอบให้กับทีมแพทย์พยาบาล เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังใจในการสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์พยาบาลในการสู้กับโควิด-19 ครั้งนี้

จากสถานการณ์ภาพรวมของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ณ ปัจจุบันมียอดสะสมรวมกว่า 6 หมื่นคน โดยในแต่ละวันมีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงในระดับหลักพันคน อีกทั้งยังมีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ ยังต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักและเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่อโรคนี้อยู่ตลอดเวลา เครือข่ายสิงห์อาสาในแต่ละจังหวัดจึงลงพื้นที่ให้การสนับสนุนน้ำดื่มสิงห์ , อาหารอาหารแช่แข็ง, อาหารพร้อมรับประทานทาน (ข้าวรีทอร์ท) และอาหารปรุงสุก รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนการทำงานของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ไปแล้วกว่า 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีนโยบายช่วยเหลือสนับสนุนบุคลากรการแพทย์รวมถึงอาสาสมัครที่เกี่ยวข้องด้วยความห่วงใย อาทิ มอบเงินสนับสนุนด้านการทำงานแก่บุคลากรการแพทย์แก่โรงพยาบาลหลักในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งหมด 26 แห่ง อีกทั้งยังสนับสนุนอาหารและน้ำดื่มให้บุคคลากรการแพทย์ในการรับมือกับผู้ป่วยโควิดทั้งในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประกาศนโยบายเร่งด่วนช่วยเหลือบรรเทาทุกข์จากผู้ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ รวมเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท

46 ปีตลาดหลักทรัพย์ฯ

วันที่ 30 เม.ย.64 นี้ เป็นวันครบรอบ 46 ปีของการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะที่ “คุณนายพารวย” เป็นสื่อมวลชนที่อยู่ในแวดวงตลาดทุนมาร่วม 30 ปี ได้เห็นพัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์ฯมาอย่างต่อเนื่อง และได้เห็นตลาดทุนไทยแห่งนี้ ได้ทำหน้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งในยามปกติและยามวิกฤติ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ คือตลาดทุน ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศ โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมเงินทุน ให้ภาคธุรกิจไปใช้ในการลงทุนและขยายกิจการ สร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างการจ้างงานให้ประชาชนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมหาศาล ขณะเดียวกันตลาดทุนแห่งนี้ ยังเป็นแหล่งลงทุนระยะยาวของประชาชน ในการบริหารเงินออมเพื่อสร้างผลตอบแทนให้งอกเงย!!

ไม่เพียงเท่านั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้มุ่งมั่น ที่จะทำให้ตลาดทุนแห่งนี้ เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ไม่เพียงแต่บทบาทหน้าที่หลัก ตามที่กล่าวไปข้างต้นเท่านั้น

“ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนปัจจุบัน ได้ประกาศให้ตลาดหลักทรัพย์ฯดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” คือ ทำให้ตลาดทุน สังคม และประเทศชาติ เติบโตไปด้วยกันอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาว

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและโดดเด่นทั้งในด้านธุรกิจและความยั่งยืน โดยส่งเสริมผลักดันให้องค์กรที่เกี่ยวข้องทำธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนจนได้การยอมรับในระดับสากล!!

ก้าวต่อไปในยุคแห่งการลงทุนที่ไร้พรมแดนนี้ “ภากร” กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ที่มุ่งทำงานเพื่อตอบโจทย์ สร้างประโยชน์ให้ผู้เกี่ยวข้องกลุ่มต่างๆและขยายสู่กลุ่มใหม่ๆ ให้กว้างขึ้น และขยายไปสู่ภาคสังคมด้วย

เช่น ในภาคประชาชน ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเดินหน้าขยายการให้ความรู้ทางการเงินสู่ระดับท้องถิ่น เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันทางการเงินสำหรับคนไทย ขณะที่ในส่วนของผู้ลงทุนนั้น จะสนับสนุนผู้ลงทุนไทยให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายในต่างประเทศได้มากขึ้น รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์และเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งในปี 63 จำนวนผู้ลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ด้านผู้ประกอบการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนา LiVE Platform เพื่อสนับสนุนให้ SMEs และสตาร์ตอัพสามารถระดมทุน เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่ง รวมทั้งยังเป็นแหล่งระดมทุนของอุตสาหกรรมใหม่ๆ อาทิ เทคโนโลยี เศรษฐกิจกระแสใหม่ และกำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับตลาดทุนไทย และให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เพิ่มโอกาสธุรกิจใหม่ให้ผู้ประกอบการ และเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้ลงทุน

สุดท้ายสำหรับภาคสังคมนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯยังได้ริเริ่มโครงการในการจัดการและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อาทิ โครงการ Care the Whale, Care the Bear, Care the Wild

เชื่อมั่นว่าความทุ่มเททั้งหมดนี้ จะนำไปสู่การสร้างการเติบโตระยะยาว ของทั้งตลาดทุน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน!!

คุณนายพารวย

โออาร์ มอบเงิน 5 แสนบาทให้รพ.สนามมหาวิทยาลัยแม่โจ้ หนุนสู้ภัยโควิด

รายงานข่าว เปิดเผยว่า  บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ โดยนายสุรินทร์ แสนเจริญ ผู้จัดการส่วน คลังน้ำมันเชียงใหม่ เป็นตัวแทน มอบเงินจำนวน 500,000 บาท ให้โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี รศ.ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ รับมอบเงิน  เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง รวมกว่า 1,000 ราย ในเดือนเมษายน 2564 ทำ ให้จังหวัดเชียงใหม่จำเป็นต้องขยายโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมให้เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย

ทั้งนี้ การบริจาคในครั้งนี้เป็นการบริจาคเพิ่มเติมจากที่ OR ได้บริจาคเงินจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งและบริหารจัดการโรงพยาบาลสนามจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ รองรับการดูแลผู้ป่วย โควิด-19 ในจังหวัดเชียงใหม่ไปแล้วก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ OR ยังได้จัดเตรียมแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาด รวม 8,000 ลิตร น้ำดื่มจิฟฟี่ รวมกว่า 20,000 ขวด และกาแฟดริปจากคาเฟ่อเมซอนรวมกว่า 25,000 ซอง คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลสนามกว่า 30 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พิษณุโลก แพร่ นครสวรรค์ ลำปาง สระบุรี อยุธยา ปทุมธานี สมุทรสาคร ขอนแก่น อุบลราชธานี ชลบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา และภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีสถานประกอบการของ OR ตั้งอยู่ เช่น คลังน้ำมัน คลังก๊าซหุงต้ม สถานีเติมน้ำมันอากาศยาน เป็นต้น สอดคล้องกับแนวทางดำเนินธุรกิจของ OR ที่มีการดูแลด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกองค์กรเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ OR ให้ความสำคัญ เพื่อส่งเสริมให้ทุกพื้นที่ที่ OR เข้าไปดำเนินธุรกิจเป็นชุมชนที่น่าอยู่ และเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

คปภ. สั่งสอบสวนตัวแทนประกันชีวิต หลังส่งข้อความไม่เหมาะสม

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏตามข่าว มีตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ได้เสนอขายประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์ โดยได้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกค้าและลูกค้าได้ปฏิเสธการซื้อประกันภัยแล้ว แต่ตัวแทนประกันชีวิตรายนี้ได้ส่งข้อความที่ไม่เหมาะสมให้ลูกค้า สำนักงาน คปภ. ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว จึงได้สั่งการบริษัทประกันชีวิตดังกล่าวให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าตัวแทนประกันชีวิตรายนี้มีการ กระทำที่ขัดต่อจรรยาบรรณของคนกลางประกันภัยหรือไม่ และสั่งการให้สายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. เรียกตัวแทนประกันชีวิตรายนี้มาสอบสวน เพื่อจะได้ดำเนินการบังคับตามมาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป รวมถึงได้แจ้งเตือนไปยังบริษัทประกันภัย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ให้กำชับสมาชิกถือปฏิบัติตามที่ประกาศกำหนดโดยเคร่งครัดแล้ว

“ตามข่าวที่ปรากฏน่าจะเข้าข่ายการรบกวน หรือก่อความรำคาญให้กับลูกค้า ซึ่งทางสำนักงาน คปภ. จะตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบ หากพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ        ที่กำหนด นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้คนกลางประกันภัย กระทำการ งดเว้นกระทำการ ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลา  ที่กำหนด หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันภัยหรือใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยได้ จนกว่าจะได้ดำเนินการให้ถูกต้อง และอาจโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือกำหนดมาตรการอื่นที่หนักขึ้น ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด    เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทำในทำนองนี้อีก ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเสนอขายประกันภัย   หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าว

ซีพี ออลล์ ชวนอุดหนุนสินค้าดี ช่วยเอสเอ็มอีฝ่าภัยโควิด

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าสานต่อนโยบายส่งเสริม SME ต่อเนื่อง คัดสรรสินค้า SME ดี มีคุณภาพจากผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ มาจำหน่ายในราคาพิเศษ ผ่านช่องทาง ALL Online ที่ 7-Eleven TH Application สร้างรายได้ให้ SME  สร้างงานและกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน ช่วยคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19             

โดยสินค้า SME มีให้เลือกหลากหลายประเภท ทั้งของกินของใช้ สินค้าท้องถิ่น สินค้าดีประจำจังหวัดต่าง ๆ ในราคาพิเศษ อาทิ ขนมขบเคี้ยว ผลไม้แปรรูป อาหาร หมอนขิด ของที่ระลึก เป็นต้น เลือกช้อปสบาย ๆ บนช่องทาง ALL Online ที่ 7-Eleven TH Application นอกจากจะได้สินค้าดีราคาถูกแล้ว ยังได้มีโอกาสทำบุญช่วย SME ให้เดินหน้าต่อไปได้อีกด้วย